วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คำกลอนสอนธรรม หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต


ธรรมะเป็นของจริง สำหรับผู้ไม่ประมาท

โดย หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต

ธรรมะเป็นของจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง

ธรรมทั้งหลาย จำได้ง่าย รู้ได้ยาก

เหมือนครกสาก ไม่รู้รส บดอาหาร

รสของเกลือ ผู้ที่เชื่อ ต้องรับประทาน

รสมันหวาน รู้ด้วยใจ ภายในตน

ยังไม่รู้รส ธรรมทั้งหมด มองไม่เห็น

ไม่บำเพ็ญ จิตไม่คลาย ไม่ได้ผล

รู้ตามปริยัติ ไม่ปฏิบัติ ฝึกหัดตน

ไม่อดทน ไม่เป็นพระ ไม่ชนะมาร

จิตเป็นพระ ต้องชนะ กามฉันท์

เครื่องผูกพัน อยู่ใน วัฏสงสาร

ตัวมิจฉา ความเห็นผิด จิตเป็นพาล

เพราะเกียจคร้าน ไม่บำเพ็ญ ไม่เห็นธรรม

จิตเห็นธรรม ก็เห็น พระตถาคต

จิตรู้รส จิตปลดเปลื้อง เป็นเรื่องขำ

แรงสัจจะ แรงทมะ ชนะกรรม (คือชนะกาม)

ผู้ปฏิบัติธรรม มั่นอดทน ได้ผลจริง

จิตเห็นกาย ในกาย คลายกำหนัด

ผู้ปฏิบัติ จะรู้ได้ ทั้งชายหญิง

เห็นวัตถุ ภายนอกกาย กลายเป็นลิง

เจอะของจริง ตามพุทธพจน์ หมดกังวล

เป็นบุญเลิศ ผู้มาเกิด เป็นมนุษย์

เป็นชาวพุทธ จิตศรัทธา สถาผล

น้อมธรรมะ มาปฏิบัติ ฝึกหัดตน

ทุกทุกคน รู้ได้ชัด ปัจจัตตัง

ผู้ประมาท ต้องเป็นทาส อยู่ในโลก

แม้มีโชค ไม่ทำดี ไม่มีหวัง

ธรรมทั้งหลาย พระตรัสไว้ ไม่ปิดบัง

หมดรักชัง รู้ด้วยตน ทุกคนเอย

คำกลอน หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต



ธรรมะเป็นของจริง สำหรับผู้ไม่ประมาท


โดย หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต


ธรรมะเป็นของจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง


ธรรมทั้งหลาย จำได้ง่าย รู้ได้ยาก


เหมือนครกสาก ไม่รู้รส บดอาหาร


รสของเกลือ ผู้ที่เชื่อ ต้องรับประทาน


รสมันหวาน รู้ด้วยใจ ภายในตน


ยังไม่รู้รส ธรรมทั้งหมด มองไม่เห็น


ไม่บำเพ็ญ จิตไม่คลาย ไม่ได้ผล


รู้ตามปริยัติ ไม่ปฏิบัติ ฝึกหัดตน


ไม่อดทน ไม่เป็นพระ ไม่ชนะมาร


จิตเป็นพระ ต้องชนะ กามฉันท์


เครื่องผูกพัน อยู่ใน วัฏสงสาร


ตัวมิจฉา ความเห็นผิด จิตเป็นพาล


เพราะเกียจคร้าน ไม่บำเพ็ญ ไม่เห็นธรรมจิต


เห็นธรรม ก็เห็น พระตถาคต


จิตรู้รส จิตปลดเปลื้อง เป็นเรื่องขำ


แรงสัจจะ แรงทมะ ชนะกรรม (คือชนะกาม)


ผู้ปฏิบัติธรรม มั่นอดทน ได้ผลจริง


จิตเห็นกาย ในกาย คลายกำหนัด


ผู้ปฏิบัติ จะรู้ได้ ทั้งชายหญิง


เห็นวัตถุ ภายนอกกาย กลายเป็นลิง


เจอะของจริง ตามพุทธพจน์ หมดกังวล


เป็นบุญเลิศ ผู้มาเกิด เป็นมนุษย์


เป็นชาวพุทธ จิตศรัทธา สถาผล


น้อมธรรมะ มาปฏิบัติ ฝึกหัดตน


ทุกทุกคน รู้ได้ชัด ปัจจัตตัง


ผู้ประมาท ต้องเป็นทาส อยู่ในโลก


แม้มีโชค ไม่ทำดี ไม่มีหวังธรรม


ทั้งหลาย พระตรัสไว้ ไม่ปิดบัง


หมดรักชัง รู้ด้วยตน ทุกคนเอย

ชาติหน้ามีจิงหรือ..........‏

ชาติหน้ามีจริงหรือ ?...

" จะต้องให้รู้ด้วยตนเอง ธรรมะที่แท้จริงเหมือนรสของแอ๊ปเปิ้ล เรื่องรสของแอ๊ปเปิ้ล เราฟังดูเฉยๆก็ไม่รู้ จะไม่รู้ว่ามันหวานหรือมันเปรี้ยวอย่างไร? นอกจากเราลองชิมแอ๊ปเปิ้ลนั้นแล้ว นั่นแหละ... จึงจะรู้แจ้งว่า รสของมันเป็นอย่างไร? อร่อยไหม? ไม่ต้องไปถามใครอีกแล้ว ปัญหามันจบที่ตรงนั้นเอง
"ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหาท่านอาจารย์ชา (หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี) เรื่องชาติหน้าภพหน้า เขาสงสัยว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่?ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม?ท่านอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ?ผู้ถาม : เชื่อท่านอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ......คุณก็โง่ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม?ท่านอาจารย์ชา : จะเชื่อไหมล่ะ? ถ้าเชื่อ......คุณโง่หรือฉลาด?
แล้วท่านจึงสอนต่อไปว่าหลายคนมาถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม? ถ้าเชื่อคุณก็โง่ เพราะอะไร ก็เพราะมันไม่มีหลักฐาน-พยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้ ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป ที่นี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามี พาผมไปดูหน่อยได้ไหม? เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด
ที่นี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม? อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม? ถ้ามีพาไปดูได้ไหม? อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี แต่สิ่งนี้เป็นของที่จะหยิบยกเอามาเป็น วัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้
ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี ไม่ต้องไปถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือ เราจะต้องรู้จัก เรื่องราวของตัวเองในปัจจุบัน เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม? ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร? นี้คือสิ่งที่เราจะต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวาน นี้เสียแล้ว นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน เท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง
คนหนึ่งพูดว่า : กลัวว่าชาติหน้าจะไม่ได้เกิดท่านอาจารย์ชา : นั่นแหละยิ่งดี กลัวมันจะเกิดเสียด้วยซ้ำไปในครั้งพุทธกาล สมัยที่พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ มีพราหม์คนหนึ่งมีความสงสัยว่า คนตายแล้วไปไหน? คนตายแล้วเกิดหรือไม่? ถ้าพระองค์ตอบได้ก็จะมาบวชด้วย แต่ถ้าตอบไม่ได้หรือไม่ตอบ แกก็จะไม่บวช แกว่าของแกอย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า มันเป็นเรื่องอะไรของฉันเล่า พราหม์จะบวชหรือไม่บวช นั่นเป็นเรื่องของพราหม์ ไม่ใช่เรื่องของฉัน พระองค์ตรัสว่า ถ้าตราบใดที่พราหม์ยังมีความเห็นว่า มีคนเกิดหรือมีคนตาย คนตายแล้วเกิดหรือคนตายแล้วไม่เกิด ถ้าพราหม์ยังมีความเห็นอยู่อย่างนี้ พราหม์ก็จะเป็นทุกข์ทรมานอยู่อีกหลายกัลป์ ทางที่ถูกนั้น พราหม์จะต้องถอนลูกศรออกเสียบัดนี้
พระพุทธเจ้าท่านว่า ความจริงแล้วไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย พราหม์คนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง และจนกว่าแกจะได้เรียนรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เข้าใจถ่องแท้เสียแล้วนั่นแหละ จึงจะเข้าใจคำพูดของพระองค์ได้ นั่นจึงจะเรียกว่า การรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา เป็นการเชื่อด้วยปัญญา พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ไม่ได้สอนว่า ให้เชื่อว่าคนตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด ชาติหน้ามีหรือไม่มี อย่างนั่นไม่ใช่เรื่องเชื่อหรือไม่เชื่อ จะถือเอาเป็นประมาณไม่ได้ จะถือเอาเป็นหลักเกณฑ์ไม่ได้
ดังนั้น ที่คุณถามว่า ชาติหน้ามีไหมนั้น อาตมาจึงถามคุณว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม? ถ้าเชื่อ โง่หรือฉลาด? อย่างนี้เข้าใจไหม? ให้เอาไปคิดดูเป็นการบ้านนะ
ที่มา... องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก: พ.ส.ล
ขอบคุณธรรมจักรดอทเนต

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

๒๘ ธันวาคม วันปราบดาภิเษก

๒๘ ธันวาคม วันปราบดาภิเษก ถวายบังคมสักการะเทอญพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
นับตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงเสด็จขึ้นเสวยราชย์ พระองค์ทรงตรากตรำกรำศึกสงครามเกือบตลอดรัชกาล ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยกลับคืน อันเป็นพระราชภารกิจหลักได้แล้วก็ตาม พระองค์ยังต้องทรงต่อสู้กับการแก้ไขปัญหาความยากจนข้นแค้น ซึ่งเบียดเบียนประชาราษฏร์ของพระองค์ด้วยความอดทน ถึงกับทรงเปล่งสัจจะวาจาด้วยน้ำพระหฤทัยเด็ดเดี่ยว ว่า
“มาดแม้นว่า มีเทพยดาองค์ใดสามารถดลบันดาลให้มีพืชพันธุ์ธัญญาหาร แก่พสกนิกรของพระองค์อย่างอุดมสมบูรณ์เห็นทันแก่พระเนตรแล้ว แม้จะต้องการเครื่องบวงสรวง ด้วยการตัดพระกรของพระองค์เป็นเครื่องสักการะ ก็จะทรงตัดถวายให้โดยพลัน”พระราชดำรัสนี้ แสดงให้เห็นถึงความเมตตารักใคร่ในพระองค์ที่มีต่อปวงพสกนิกรอย่างล้นเปี่ยม !
สมเด็จพระเจ้าตากสิน พระผู้ทรงคุณแก่ประเทศชาติไทยอย่างใหญ่หลวง พระผู้ทรงนำแผ่นดินไทย คนไทย กลับมามีเอกราชและยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติไทยเหล่าข้าราชบริพาร และประชาราษฏร์ผู้รู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงเทิดทูนยกย่องถวายพระเกียรติของพระองค์ท่านว่า “ มหาราช” สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระผู้ทรงเป็นมหาวีรบุรุษของชาติไทย ตราบจนเท่าทุกวันนี้ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ คณะรัฐบาลไทยในสมัย ฯพณฯ จอมพล แปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนทุกหมู่เหล่าได้พร้อมใจกันสร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ประดิษฐานอยู่ ณ วงเวียนใหญ่ กรุงธนบุรี เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๔๙ ตัวอนุสาวรีย์สูง ๘.๕๙ เมตร กว้าง ๑.๘ เมตร ยาว ๓.๕๐ น. ด้วยรูปหล่อทองสัมฤทธ์บรมรูปทรงม้า ทรงพระมาลา ยกกรข้างขวาชูดาบ พร้อมที่จะเผชิญกับข้าศึกอย่างฉับพลัน เพื่อน้อมรำลึกถึงในพระเกียรติประวัติ เกียรติยศ เกียรติคุณ ให้ทรงปรากฏกับอนุชนรุ่นหลังสืบต่อมา โดยถือกำหนดเอาวันที่ ๒๘ ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันถวายบังคมราชสักการะคล้าย “วันปราบดาภิเษก” เสด็จขึ้นเสวยราชย์ฯ
ดังนั้น ในวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ จึงกำหนดรัฐพิธีเป็นทางการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ภูมิพลอดุลยเดชฯ (สมเด็จพระภัทรมหาราช) ทรงเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากรพะที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระราชนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เวลา ๑๗ นาฬิกา ๓๐ นาที ทรงวางพวงมาลา แล้วทรงจุดธูปเทียนถวายเครื่องราชสักการะต่อองค์อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระผู้ทรงมีคุณาคุณแก่ประเทศชาติไทยอย่างใหญ่หลวง สืบเนื่องมาจนตราบเท่าปัจจุบัน
ณ ใต้แท่นฐานอนุสาวรีย์พระบรมราชานุสาวรีย์ฯ มีข้อความจารึกปรากฏว่า
“ ... อนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์เฉลิมพระบรมราชกฤดาภินิหารแห่งสมเด็จพระเจาตากสินมหาราชพระองค์ผู้เป็นมหาวีรบุรุษของชาติประสูติ พ.ศ. ๒๒๗๗ สวรรคต พ.ศ. ๒๓๒๕รัฐบาลไทยพร้อมด้วยพระชาชนชาวไทยได้ร่วมสร้างขึ้นประดิษฐานไว้เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๗เพื่อเตือนใจให้ประชาชนชาวไทยรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงเพียรทรงพยายามปราบอริราชศัตรู กอบกู้เอกราชของชาติไทยให้กลับคืนดำรงอิสรภาพสืบมา ...”
ความเข้าใจ “วันปราบดาภิเษก”๑) วันพุธ แรม ๔ ค่ำ เดือนอ้าย ปีกุล นพศก จ.ศ. ๑๑๒๙ ตรงกับวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๓๑๐๒) วันพุธ แรม ๔ ค่ำ เดือนอ้าย ปีชวด สัมฤทธิ์ศก จ.ศ. ๑๑๓๐ ตรงกับวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๓๑๑๓) วันพุธ แรม ๔ ค่ำ เดือนอ้าย ปีชวด สัมฤทธิ์ศก จ.ศ. ๑๑๓๐ ตรงกับวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๓๑๑ความเข้าใจส่วนใหญ่ (๘ ใน ๑๐) ชี้ชัดว่า เป็นวันพุธ แรม ๔ ค่ำ เดือนอ้าย ปีชวด สัมฤทธิ์ศก จุลศักราช ๑๑๓๐ ตามข้อมูลลำดับที่ ๒ แต่หลังจากมีการลำดับเหตุการณ์ความเป็นไปในพงศาวดาร ได้มีผู้ค้นคว้าแสดงความเห็นแตกต่างกันว่า ควรจะเป็น ปี จ.ศ. ๑๑๒๙ (พ.ศ. ๒๓๑๐) มากกว่าปี จ.ศ. ๑๑๓๐ (พ.ศ. ๒๓๑๑) ด้วยเหตุผลดังนี้๑) กรุงศรีอยุธยาฯ สิ้นราชธานี เมื่อเดือน ๕ ปีกุน นพศก จ.ศ. ๑๑๒๙ พระองค์ทรงกอบกู้เอกราชคืนได้ ในเวลาเพียง ๗ เดือน คือ เมื่อเดือน ๑๒ (วันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีกุน นพศก จุลศักราช ๑๑๒๙ ตรงกับวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๑๐) และอีกหนึ่งเศาต่อมา พระองค์ทรงปราบดาภิเษกขึ้น เป็นพระมหากษัตริย์ เมื่อวันพุธ แรม ๔ ค่ำ เดือนอ้าย ปีกุน (ไม่ใช่ปีชวด เพราะว่าเดือนอ้าย ยังคงอยู่ในรอบปีนักษัตรของปีกุน) นพศก (ไม่ใช่สัมฤทธิศก เพราะยังอยู่ในปีเดิม) จ.ศ. ๑๑๒๙ (ไม่ใช่ จ.ศ. ๑๑๓๐ เพราะรอบเวลาของปีนักษัตร ยังคงเป็นปีกุน) ฉะนั้น ยังคงเป็นศกเดิม ๑๑๒๙ ไม่ใช่ศกใหม่ จ.ศ. ๑๑๓๐) ดังนั้น วันเดือนปีทางจันทรคติ จึงควรอ่านได้ว่า วันปราบดาภิเษก คือ วันพุธ แรม ๔ ค่ำ เดือนอ้าย ปีกุน นพศก จุลศักราช ๑๑๒๙ ไม่ใช่ วันพุธ แรม ๔ ค่ำ เดือนอ้าย ปีชวด สัมฤทธิ์ศก จ.ศ. ๑๑๓๐ เช่นเดียวกัน วันเดือนปีทางสุริยคติ จุงสมควรอ่านได้ว่า วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๑๐ (ไม่ใช่ปี พ.ศ. ๒๓๑๑)๒) ความเห็นในมุมกลับกัน หากวันปราบดาภิเษกเป็น วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๑๑ (จ.ศ. ๑๑๓๐) ก็เท่ากับว่า วันเดือนปีขัดแย้งกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ จากหนังสือของบรมครู มักกล่าวไว้ว่า หลังจากพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ยังต้องทรงใช้ระยะเวลาหนึ่งในการต่อสู้แก้ไขปัญหาปากท้อง ความยากจนข้นแค้น บรรเทาทุกข์ บำรุงสุข รักษาขวัญกำลังใจ ให้แก่ราษฏร์ของพระองค์ เนื่องจากบ้านเมืองได้รับการเผาผลาญเสียหายแทบไม่มีชิ้นดี ในขณะเดียวกันต้องทรงตระเตรียมเสบียงอาหารจัดกองทัพช้าง และม้า เพื่อไปปราบเจ้าชุมนุมต่างๆ ที่แข็งข้ออยู่ในขณะนั้น ฉะนั้น หากพระองค์เถลิงราชย์ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ปี พ.ศ. ๒๓๑๑ ก็หมายความว่า พระองค์ทรงเหลือเวลาเพียง ๓ วัน ก็จะขึ้นศกใหม่ เป็นปี พ.ศ. ๒๓๑๒ และเวลาเพียง ๓ วัน คงจะไม่เอื้อำนวยให้พระองค์ทรงกระทำในเหตุการร์ต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมา และประการสำคัญ เหตุการณ์เหล่านี้ เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ คาบเกี่ยวกับปี พ.ศ. ๒๓๑๑ (ไม่ใช่ปี พ.ศ. ๒๓๑๑ คบเกี่ยวกับปี พ.ศ. ๒๓๑๒)๓) มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ชื่อ “ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” เขียนโดย ท่านพลตรี จรรยา ประชิตโรมรัน ท่านระบุชี้ชัด ในที่หน้า ๕๘-๖๒ ว่า “ ... เป็นปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ขึ้นครองราชย์ ... ตรงกับพงศาวดารพม่า กล่าวไว้ว่า พระเจ้ากรุงอังวะ เมื่อพม่าได้โปรดให้แมงกี้มานหญ่า (พระยาทวาย) เกณฑ์กำลังพลเข้ามาทางไทรโยค ในช่วงฤดูแล้ง ปลายปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ครั้นมาถึงบ้านบางกุ้ง เห็นค่ายทหารจีนของพระยาตากสิน จึงสั่งให้กำลังพลของตนเข้าไปโอบล้อมไว้ ...”
อาศัยเหตุดังกล่าวมา “ วันปราบดาภิเษก” ควรจะเป็นวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๑๐
ประโยชน์มวลกุศลทุกประการ อันจะก่อเกิดพึงมีจากสาระนี้ ขอน้อมถวายเป็นพระกุศลเจริญญาณพระบารมี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตลอดจนพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า ผู้เอกอัครพุทธศาสนูปภัมภกทุก ๆ พระองค์ น้อมบูชาพระโบราณจารย์ ผู้บริหารพระพุทธศาสนา จนถึงปัจจุบันสมัย และยังผลสู่ลูกหลานบริวารทุกๆ ดวงจิต ทุกๆ ดวงวิญญาณ ในพระองค์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช