วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ไฟฟ้าช๊อต ตายช่วยได้ครับ.....

ผมได้รับ FW mail เห็นว่ามีประโยชน์เลยนำมาแบ่งปันเพื่อนๆ ครับ ไม้รู้ว่าต้นกำเนิดผู้ใช่สรรพนามว่า ผม คนนั้นคือใคร
เรื่องเล่ามีดังนี้
ไฟฟ้าช๊อต ตายช่วยได้ครับ.....
ก่อนอื่นผมขอออกตัวนะครับทุกท่าน ว่าไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้เลิศเลอ มากมาย เพียงแต่อยากจะนำความรู้ที่พอมี และประสบการณ์มาแบ่งปันกันบ้างในฐานะที่เราอยู่ใต้ร่มโพธิ์ อาศัยพระบารมีของพระองค์ท่าน ไฟฟ้าเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมาตลอด มีคุณอนันต์ แต่มีโทษมหันต์ครับ ผมไปเรียนซ่อม วิทยุโทรทัศน์ เครื่องขยายเสียงและ..ฯ กับคุณครู ถาวร คำมณีจันทร์ คนขอนแก่น ท่านเป็นช่างยุคแรก ๆ ของเมืองไทย เคยอยู่โรงเรียนแสงทองวิทยุโทรทัศน์ ,อิเล็กทรอนิคส์กรุงเทพ-รังสิต สุดท้ายกลับบ้านสร้างโรงเรียนสอนซ่อมโทรทัศน์ที่ อ.ชุมแพ ขอนแก่นโน่น ท่านแนะนำเกี่ยวกับคนที่โดนไฟฟ้าช็อตตาย ตายนะครับ อย่าปล่อยไว้นานเกิน 1 ชั่วโมง และอย่าเพิ่งรีบส่งโรงพยาบาล ให้หาทางคลายประจุไฟฟ้าในตัวคนตายก่อน โดยหาแผ่นเหล็ก หรือสังกะสีมาวางคนที่โดนไฟฟ้าช็อตบนนั้น แล้วเทน้ำราด(อย่าให้น้ำเข้าจมูกนะครับ กระแสไฟที่อยู่ในตัวจะถูกคลายประจุลงดินครับ..เขาจะค่อย ๆ รู้สึกตัว หรือร้องลั่น ก็แล้วแต่ ฟื้นแล้วค่อยส่งโรงพยาบาล ผมเคยเจอมากับตัวเองครับ ฟื้นครับ สิบราย ฟื้นทั้งสิบครับ สมัยก่อน นะครับ คนที่ถูกฟ้าลงข้าง ๆ ตัว (ไม่ถึง กะตัวไหม้เกรียมนะครับ)เขาใช้ น้ำเหล้าขาวที่ดื่มกันมาเป่า ก็ ยังฟื้นได้นับประสาอะไรกับน้ำเป็นครุถัง แต่ถ้านำไปโรงพยาบาลทันที โดนปั๊มหัวใจทันที ตับแตกตายแน่นอนครับท่าน สาเหตุเพราะว่ากระแสไฟฟ้าชาร์ทประจุอยู่เต็มตัว ฉะนั้นจึงให้คลายประจุก่อน จึงค่อยส่งโรงพยาบาลและขอแนะนำว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดให้ทำการต่อสายดินเอาที่เส้นโต ๆ หน่อยหาเหล็กแท่งมาตอกลงดินเทน้ำให้ชื้น ๆ คนใช้ ก็ จะปลอดภัยครับส่วนสาเหตุที่ เมื่อต่อสายดินแล้วทำไมไฟฟ้าไม่ช็อตนั้นตามหลักการแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัวนำที่เป็นสื่อทุกชนิด มากน้อยแล้วแต่ความต้านทานของสื่อไฟฟ้าครับ ความต้านทานน้อย กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านมาก ความต้านทานมากกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านได้น้อย ขอให้ท่านสังเกตุดูนะครับว่าเสาไฟฟ้าแรงต่ำจะมีสายต่อลงดินเป็นระยะ ๆ ไป นั่นก็เป็นการป้องกันในระดับหนึ่งครับ เรื่องของสายล่อฟ้าก็เช่นเดียวกันไม่ใช่ไม่ให้ฟ้าลงนะครับ แต่เป็นการล่อให้มันลงมา ลงมาทีละน้อย ๆ ไง. มันจึงไม่ผ่าเพราะประจุไฟฟ้าไม่มากพอ ถ้าท่านไม่เชื่อ ในขณะครื้มฟ้าครื้มฝนลองไปยืนใกล้ ๆสายล่อฟ้าดูนะครับ จะมีกระแสไฟฟ้าทำให้เราขนลุกได้แต่ไม่มีอันตราย ......ขอจบตรงนี้นะครับ ความดี นี้ขอมอบแด่คุณครู ถาวร คำมณีจันทร์ ผู้ถ่ายทอดประสบการณ์ครับ...

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

ประวัติความเป็นมาของพระแก้วมรกต


คำบอกเล่าของหลวงปู่มั่นเรื่องประวัติความเป็นมาของพระแก้วมรกต

เรื่องนี้อัตถุปัตติเหตุเกิดขึ้นเมื่อครั้ง พระอาจารย์มั่น พักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือ พระอุปัชฌาย์อุ่น (พระครูบริบาลสังฆกิจ (อุ่น อุตฺตโม) วัดอุดมรัตนาราม อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร) ได้ไปกราบนมัสการฟังเทศน์ และได้นำรูปพระแก้วมรกตขนาด 20 นิ้ว เป็นภาพพิมพ์ใส่กรอบไปถวายท่านพระอาจารย์ แต่ดูท่านจะลืมทำความสะอาด เพราะมีฝุ่นจับอยู่ ท่านพระอาจารย์ก็น้อมรับด้วยความเคารพหลังจากท่านอุปัชฌาย์อุ่นลาลงกุฏิไปแล้ว ท่านพระอาจารย์ได้ทำความสะอาด โดยนำผ้าสรงน้ำของท่านฯ มาเช็ดถู ผู้เล่า (หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ) เอาผ้าเช็ดพื้นเข้าไปช่วยทำความสะอาดด้วย เพราะเห็นว่าผ้ายังสะอาดอยู่ ท่านหันมาเห็นเข้า พูดว่า “อะไรกัน นั่นรูปพระพุทธเจ้าแท้ๆ ยังเอาผ้าเช็ดพื้นมาถูได้” ผู้เล่าสะดุ้งไปทั้งตัว เพราะความโง่เขลาปัญญาอ่อน ท่านฯ ก็เลยทำความสะอาดเอง เสร็จแล้วก็มีเพื่อนภิกษุทยอยกันขึ้นไป รวมทั้งท่านอาจารย์วิริยังค์ด้วย ท่านเลยเทศน์ถึงความมหัศจรรย์ของพระแก้วมรกต


ท่านว่า“พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ว่างจากพระอริยบุคคล พระอริยบุคคลมีอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ฉิบหายด้วยภัยแห่งสงคราม”


ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า พระแก้วมรกตหล่อที่ลังกาทวีป ผู้เป็นประธานหล่อคือ พระจุลนาคเถระ เป็นชาวลังกา หล่อเมื่อศาสนาล่วงมาได้ 300 ปี ส่วนแก้วนั้น ท่านเล่าเชิงปาฏิหาริย์ พอเริ่มจะหล่อไม่ได้ตั้งใจจะเอาแก้วมรกตเพราะเป็นของหายาก บอกบุญตามแต่ศรัทธา จะเป็นแก้วอะไรก็ได้ ร้อนถึงพระอินทร์อยู่บนสวรรค์ มาอาสาเป็นช่างหล่อ และพระองค์มีแก้วอยู่ดวงหนึ่ง ขออนุโมทนาเป็นกุศลด้วย พระอินทร์ไม่ได้เป็นช่าง แต่ช่างคือเทพบุตรชื่อ วิษณุกรรม ส่วนแก้วก็ไม่ใช่ของพระอินทร์ แต่เป็นแก้วอยู่ในถ้ำจิตรกูฏหรืออินทสารนี้ละ ผู้เล่า (หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ) ไม่มั่นใจ

ท่านพระอาจารย์ท่านเล่าว่า เป็นแก้วหน่อเนื้อพุทธางกูร ประจำภัทรกัปป์ เหลืออยู่ 2 ลูก มียักษ์รักษา พระอินทร์ไปขอแก้วดวงใหญ่ ซึ่งสุกใสกว่าจากยักษ์ตนนั้น แต่ยักษ์ไม่ให้ บอกว่าไม่ใช่ของเจ้า จึงให้แก้วดวงเล็กมา พระอินทร์นำมาหล่อเป็นผลสำเร็จ แต่ยังมีแก้วเหลือค้างอยู่ที่เรียกว่าแก้วก้นเตา เผาอย่างไรก็ไม่ละลาย พระจุลนาคเถระจึงอธิษฐานบรรจุไว้ใต้ฐาน ปรากฏว่าเป็นกระปุกระปะ ไม่เรียบหล่อเสร็จมีการสมโภช ท่านจุลนาคเถระ ได้อธิษฐานอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐาน 5 แห่ง คือระหว่างพระขนง 1 แห่ง พระอังสาทั้งสอง 2 แห่ง พระเมาลี 1 แห่ง และพระนาภี 1 แห่ง ท่านฯ ว่าอย่างนี้การเสด็จไปสู่สถานที่ต่างๆ ของพระแก้วมรกตนั้นมีปัจจัย 3 อย่าง คือ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา เกิดกลียุคในประเทศนั้น และด้วยความรัก ท่านพระอาจารย์เล่าต่อว่า ได้มีการอัญเชิญจากกรุงลังกาสู่นครศรีธรรมราชโดยทางเรือ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา นำโดยเถรเจ้าป่า (คำว่า เถรเจ้าป่า หมายความถึง พระกัมมัฏฐานที่ชอบออกปฏิบัติภาวนาอยู่ตามป่าเขา) อยู่นครศรีธรรมราชก็ไม่ได้กำหนดว่านานเท่าไร ต่อจากนั้นจึงอัญเชิญไปสู่นครวัด นครธม ประเทศเขมร เพื่อเผยแผ่พระศาสนา นำโดยเถรเจ้าป่าอีกนั่นแหละหลวงปู่อุ่น อุตฺตโม จากนครวัด นครธม สู่กรุงจันทบุรีศรีสัตตนาคนหุต (ประเทศลาว) ปัจจุบันคือเวียงจันทน์ สาเหตุเกิดกลียุคแย่งราชสมบัติ เถรเจ้าป่าท่านเห็นว่าพระแก้วจะไม่ปลอดภัย จึงได้เอาผ้าห่อแล้วบรรจุลงในบาตร (คงจะเป็นบาตรขนาดใหญ่) เพื่ออำพรางผู้ทุศีลไม่ให้แย่งชิงไป เถรเจ้าป่าองค์นั้นไปอยู่ที่เวียงจันทน์ก็ไม่มีกำหนดปีเหมือนกันจากนครเวียงจันทน์ก็ได้เสด็จสู่นครลำปาง และนครเชียงใหม่ ด้วยสาเหตุแห่งความรัก เนื่องจากเจ้าผู้ครองเวียงจันทน์ได้บุตรเขยเป็นชาวเชียงใหม่ หลังจากนั้นจะนำบุตรีสู่เชียงใหม่ บิดาให้พรบุตรีว่าอยากได้อะไรก็จะให้ บุตรีจึงขอพระแก้วมรกตไปด้วย ด้วยความรักของบิดาก็จำยอมยกให้พอไปถึงลำปาง ช้างที่นั่งไปไม่ยอมไปเอาดื้อๆ จะขับไสอย่างไรช้างก็ไม่ไป ตกลงกันว่าองค์พระแก้วมีพระประสงค์จะประทับที่ลำปางแน่ พระแก้วก็เลยประดิษฐานที่ลำปางก่อน นานพอสมควรจึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านก็ไม่ได้บอกว่ากี่ปี ต่อมาบุตรเขยก็เสียชีวิตลง บุตรีเจ้าผู้ครองนครก็กลับสู่เวียงจันทน์ และนำพระแก้วมรกตกลับมาด้วย จึงประดิษฐานอยู่ที่เวียงจันทน์อีกเป็นครั้งที่สองท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า ไทยคือลาว ลาวคือไทย เป็นชาติเดียวกัน แต่ครั้งอยู่ราชคฤห์ แต่หนีตายมาคนละสาย มาบรรจบกันที่แม่น้ำใหญ่ๆ 4 สาย คือ แม่น้ำโขง เจ้าพระยา สาละวิน และแม่น้ำตาปี พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ต่อมาเหตุการณ์บ้านเมืองในลาวเปลี่ยนแปลง เกิดกลียุค ราชวงศ์และราชบุตรเป็นศัตรูกัน ราชบุตรมักถูกรังแกใส่ความ ทนไม่ไหวจึงอพยพครอบครัวข้ามโขงมาอยู่อีกฝั่งหนึ่ง (ปัจจุบัน คือ จังหวัดหนองบัวลำภู) ราษฎรก็ทยอยติดตามมา โดยมีพระตา น้องชายราชบุตรเป็นหัวหน้า ราชวงศ์ยังยกกองทัพมารังแกข่มเหงอีกฝ่ายพระตาและพระวอก็ได้ถอยร่นลงมาสู่ดอนมดแดง คืออุบลราชธานีในปัจจุบันอย่างทุลักทุเล บังเอิญกองทัพทางเวียงจันทน์เสบียงขาดแคลนลง จึงต้องยกทัพกลับ หลังจากนั้นก็ได้ยกทัพมาตีอีกครั้งที่สอง ชาวดอนมดแดงได้ต่อสู้ถวายหัวเต็มกำลังความสามารถพระตาสวรรคตในสนามรบอย่างสมพระเกียรติ พระวอเห็นท่าไม่ได้การ ได้ให้ม้าเร็วนำสาส์นขอกองกำลังจากบางกอกไปช่วย สมัยนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นพระมหากษัตริย์ จึงส่งกองทัพม้าเป็นทัพหน้าเดินทางไปก่อน กองทัพหลวงนำโดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เป็นแม่ทัพยกตามไป ชาวดอนมดแดงก็มีกำลังใจสู้ถวายหัว พอกองทัพหลวงยกมาถึง กองทัพทางเวียงจันทน์จึงแตกพ่ายกลับไปทั้งทัพม้าศึกและทัพหลวงแห่งบางกอก พร้อมกองอาสาสมัครแห่งดอนมดแดง ก็ติดตามไล่ตีไม่ลดละ จนถึงฝั่งโขง และข้ามโขงเข้ายึดนครเวียงจันทน์ได้ทั้งหมดหลังจากชนะศึกแล้ว ชาวลาวได้ยินยอมพร้อมใจมอบพระแก้วมรกตและพระบาง ให้มาประดิษฐานที่กรุงเทพฯ นี่คือสาเหตุที่พระแก้วมรกตมาประดิษฐานในประเทศไทยปีนั้นบางกอกเกิดฝนแล้ง โหรหลวงทำนายว่า เพราะพระแก้วและพระบางมาอยู่รวมกันเป็นเหตุ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก จึงส่งสาส์นแจ้งไปยังเจ้ามหาชีวิตลาว พระองค์ทรงยินดีรับคืน แต่ให้ส่งไปนครหลวงคือ กรุงศรีสัตตนาคนหุต ไทยได้ทำการสักการะจัดส่งอย่างสมพระเกียรติ ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าอย่างนี้ ตั้งแต่วันพระบางไปถึงกรุงศรีสัตตนคนหุต ก็เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองหลวงพระบางมาจนบัดนี้ท่านฯ ยังเล่าต่อไปว่า เดิมไม่ได้เรียกเมือง “หลวงพระบาง” เรียก “หลวงพระบ้าง” เพราะว่าทองที่หล่อนั้นเป็นทองหลายชนิด ผู้มีศรัทธาไปร่วมพิธีเททองหล่อนั้น มีทั้งสร้อยทองคำ ตุ้มหูทองคำ กำไลทองคำ เงิน ทองแดง นาก ทองสัมฤทธิ์ เอาออกมาใส่ลงในเบ้าหล่อ โดยทุกคนก็กล่าวว่า ฉันบ้าง ข้าบ้าง กูบ้าง ข้าน้อยบ้าง เมื่อเป็นพระออกมาก็คงจะมีชื่ออย่างอื่น ชื่ออะไรท่านมิได้กล่าวๆ แต่คนนั้นก็ว่าพระบ้าง คนนี้ก็พระบ้าง ลักษณะชายจีวรบางแผ่ออกทั้งสองข้าง เป็นแผ่นบางๆ คนภายหลังมาเห็น เลยกลายจากบ้าง มาเป็นบาง จากพระบ้างมาเป็นพระบางไปหลังจากสมเด็จเจ้าพระมหากษัตริย์ศึก ได้เสวยราชย์เป็นรัชกาลที่ 1 แล้ว ได้ยกฐานะบ้านดอนมดแดงขึ้นเป็นเมืองให้ชื่อว่า เมืองอุบลราชธานี ตั้งพระวอเป็นพระวรวงศาธิราชครองเมืองอุบลฯ พระวรวงศาธิราชสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พ้นภัยพิบัติมาได้ จึงได้ประกาศเป็นทางการว่า แผ่นดินฝั่งขวาแม่น้ำโขงทั้งหมดขอขึ้นตรงต่อบางกอก ไม่ขึ้นตรงต่อเวียงจันทน์ ตั้งวันนั้นมาถึงปัจจุบันปรากฏอยู่ในแผนที่ประเทศไทยโดยสมบูรณ์หลังเทศน์จบ พระไปกันหมดแล้วก่อนจะจำวัด ท่านพระอาจารย์ (หลวงปู่มั่น) มักมีคำพูดขำขันบ้าง เป็นปริศนาบ้าง เป็นคำของบุคคลสำคัญพูดบ้าง อย่างที่ผู้เล่า (หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ) กำลังจะเล่าเรื่องภาคกลาง ต่อไปนี้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เคยพูดว่า ภาคกลางคือ “จอมไทย” (ผู้ปฏิบัติใกล้ชิด คิดอยากรู้อยากฟัง ไม่ต้องถามท่านพระอาจารย์ดอก ถวายการนวดไปท่านก็เล่าไป พอจบเรื่องท่านก็หลับ โปรดเข้าใจการสนทนาธรรมด้วยอิริยาบถนอน เป็นการไม่เคารพธรรม แต่ท่านพระอาจารย์กล่าวว่า เวลานอนมิเป็นการสนทนาธรรม เป็นการพูดกันธรรมดาๆ แบบกันเอง ท่านจึงไม่เป็นอาบัติ) คำว่า “จอม” หมายถึง วัตถุแหลมๆ อยู่บนที่สูง เช่น ยอดพระเจดีย์เป็นต้น “จอมไทย” ก็คือ กรุงเทพมหานครเรานี้เอง ท่านที่เป็นปราชญ์ ก็เรียกว่า จอมปราชญ์ มงกุฎฉลองพระมหากษัตริย์ก็เรียก จอมมงกุฎ พระมหากษัตริย์ก็เรียก จอมกษัตริย์ วัดพระแก้วมรกตอีกแห่งหนึ่ง เรียกว่า จอมวัด ก็ไม่ผิดวัดพระแก้วนี้เป็นวัดพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ พระสงฆ์อยู่ไม่ได้ เพราะพระสงฆ์มาจากตระกูลต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด ไม่รู้พุทธอัธยาศัย พุทธธรรมเนียม เพราะพระพุทธเจ้าเป็นทั้งกษัตริย์ และผู้สุขุมาลชาติ เมื่อพระสงฆ์ไม่รู้พุทธธรรมเนียม ถ้าไปอยู่ก็มีแต่บาปกินหัว หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ ผู้เขียน ท่านฯ ว่า ผู้รู้ทั้งพุทธอัธยาศัยและพุทธธรรมเนียมแล้ว มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวเท่านั้น ครั้งพุทธกาลก็มีพระเจ้าพิมพิสารเท่านั้นทรงรู้ แต่จอมไทยคือ พระมหากษัตริย์ทรงรู้มาแล้ว ได้ทรงสร้างวัดถวายจำเพาะพระแก้วเท่านั้นพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร คือ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า ต่างแต่วาสนาบารมีมากน้อยต่างกันเท่านั้น ท่านจึงทรงรู้พุทธอัธยาศัยเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า (พระพุทธศาสนาก็เป็นจอมพุทธศาสนาที่กรุงเทพฯ นี้)ไทยนั้นเป็นเจ้าขององค์พระแก้วมรกต ผู้ใดย่างกรายเข้าสู่วัดพระแก้วเป็นบุญทุกขณะที่อยู่ในบริเวณวัด แม้แต่ชาวต่างชาติ จะเป็นฝรั่ง อังกฤษ อเมริกา มีโอกาสเข้าไปในบริเวณวัดพระแก้ว จะด้วยศรัทธาหรือไม่ก็ตาม ก็ได้เข้ามาสู่วงศ์พระพุทธศาสนาโดยปริยาย หรือจะบังเอิญก็แล้วแต่ สามารถเป็นนิสัยให้เข้ามาได้ ต่อไปจะสามารถมาเกิดเป็นคนไทย สืบต่อบุญบารมีสำเร็จมรรคผลได้นี้คือบทสนทนาแบบกันเองของครูและศิษย์ขอขอบคุณที่มาจาก..ปกิณกะธรรมในหนังสือ “รำลึกวันวาน” เขียนโดย หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ หน้า 141-145

วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

ถอนหญ้า



= = = = ถอนหญ้า = = = =
เป็นเรื่องสั้นๆ แต่ก็ช่วยเตือนสติได้ดี

"ก๊อกๆๆๆๆ" เสียงเคาะประตูที่ดังผ่านแผ่นไม้มา

พร้อมๆ กับเสียงที่ดูเหมือนกับเป็นคำสั่งว่า

"ตื่นนอนได้แล้วจะได้ช่วยกันทำงาน"

เด็กน้อยคนหนึ่งตื่นขึ้นมา ท่าทางงัวเงียสลึมสลือ

มือจับผ้าห่มที่อยู่ปลายเตียงมาพับและตอบรับเสียงปลุกนั้น

"อืม.....ตื่นแล้ว ได้ยินแล้ว" "นี่วันหยุดนะเนี่ย" เด็กน้อยบ่นกับตัวเอง

"เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ ไปถอนหญ้าที่ไร่นะ" พ่อสั่งขณะที่ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาให้ลูกชาย

เด็กน้อยพยักหน้าตอบ และลงมือทานอาหารมื้อแรกของวัน

หลังจากทานอาหารเสร็จ เด็กน้อยเดินไปหยิบหมวกและเสื้อแขนยาวมาสวมเพื่อกันแดด

แล้ววิ่งออกไปหน้าบ้าน กระโดดขึ้นซ้อนท้ายจักรยานโบราณสภาพเก่าโทรม

บ่งบอกถึงอายุการใช้งานซึ่งมีพ่อเป็นผู้ขี่

ในระหว่างทาง เด็กน้อยคุยกับพ่อตลอด เขาป้อนคำถามที่อยากรู้

ซึ่งบางครั้งดูเหมือนกับว่าผู้เป็นพ่อจะพยายามสอดแทรกให้แง่คิดตลอด

โดยที่เด็กน้อยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่นานนักก็ถึงไร่ที่เขามีภารกิจที่จะต้องทำ

"ถอนหญ้า" ภาระกิจที่ได้รับมอบหมาย ..

หญ้าเปรียบเสมือน "ศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่"

"เดี๋ยวเจ้าถอนแปลงนี้นะ" พ่อสั่งพร้อมกับชี้นิ้วไปที่แปลงผัก

เด็กน้อยรับคำและลงมือถอนหญ้าออกจากแปลงผัก ทีละต้น ทีละต้น

จนกระทั่งศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่หายไปจากแปลงผักจนหมดสิ้น

"ไปพักกินน้ำที่ใต้ต้นมะม่วงก่อน....ไป" เด็กน้อยรับคำพ่อแล้วเดินไปพัก

"กลับมาเร็วๆ นะ ยังมีอีกแปลงหนึ่ง" เสียงพ่อสั่งตามหลังเด็กน้อย

หลังจากได้พักกินน้ำ พ่อได้ส่งจอบให้เด็กน้อย พร้อมกับพูดว่า "เอ้า...เอาไปถากหญ้า"

เด็กน้อยรับจอบและตรงไปยังแปลงผักเพื่อทำภารกิจต่อ

ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะพึงพอใจกับการใช้จอบถากหญ้ามากกว่าการใช้มือถอน

เหตุผลก็คือ มันทำให้เขาสามารถทำงานได้รวดเร็ว ซึ่งไม่นานนักเขาก็จัดการกับศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่อย่างราบคาบ

หลังจากที่ภารกิจเสร็จสิ้นลง พ่อลูกก็พากันกลับบ้าน

ระหว่างทางเด็กน้อยถาม "ทำไมไม่ให้ผมใช้จอบตั้งแต่แรกล่ะ ทั้งๆ ที่ทำงานได้เร็วกว่า"

พ่อไม่ตอบ ได้แต่อมยิ้ม เก็บซ่อนคำตอบไว้เพียงผู้เดียว

ผ่านไป 1 สัปดาห์ พ่อได้พาเด็กน้อยกลับไปที่ไร่อีก

สิ่งที่เด็กน้อยเห็นก็คือ แปลงที่ใช้มือถอน บัดนี้ไม่มีหญ้าให้เขาถอนเลย แม้แต่ต้นเดียว

แต่... แปลงที่ใช้จอบถาก กลับมีต้นหญ้าปกคลุมเหมือนเดิม

"ทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ" เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย ทั้งๆ ที่เขาได้จัดการมันหมดไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พ่อตอบ "แปลงที่เจ้าใช้มือถอนน่ะ เจ้าได้ถอนมันถึงรากถึงโคน ส่วนแปลงที่เจ้าใช้จอบถากน่ะ เจ้าเพียงแต่ตัดเอาส่วนปลายของมันออกเท่านั้น มันยังคงมีส่วนที่ฝังลึกอยู่ในดินอีก”

“มันก็เหมือนกับปัญหาต่างๆ ที่เราพบเจอนั่นแหละ ถ้าเราแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยปล่อยสาเหตุของปัญหาไว้ ไม่นานนักปัญหานั้นก็จะกลับมาสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าอีก แต่ถ้าเราแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แม้มันจะยากสักนิด แต่มันก็ทำให้ปัญหานั้นหมดไปได้" เด็กน้อยยิ้มรับด้วยความเข้าใจ

"จงหันหน้าสู้กับปัญหา.....จัดการกับสาเหตุ.....และอย่าท้อถอย"ธรรมสวัสดี
.........................................................................................................................................................................

" เงินและอาหารเป็นเสบียงอันประเสริฐในโลกนี้ฉันใด บุญกุศลก็เป็นเสบียงในทางปรโลกฉันนั้น ใช้ชีวิตนี้ให้มีคุณค่า สะสมเสบียงให้เพียงพอ เรียกว่า สั่งสมบุญบารมี " หลวงปู่จันทร์ศรี ...

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

กฎแห่งกรรม



อ่านให้จบน่ะจุดเด่นอยู่ที่ข้อ 19 กฏแห่งกรรม

1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย

เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ

เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่

เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนให­ญ่โต

เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริ­ญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก

เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม

เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี

เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย

เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า

เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้­ญาติในชาติก่อน

10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า

เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง

เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น

เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้

เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

14. เหตุใดชาตินี้คุณมีดวงตาสดใส

เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปั­­ญญาอ่อนและหูหนวก

เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ

เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย

เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา

ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด

19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม

คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

โบสถ์พราหมณ์ เทวสถานอันศักดิ์สิทธิ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์







วัตถุมงคลของโบสถ์พราหมณ์...เทวสถานแห่งนี้แม้จะมีประวัติการก่อสร้างและคงอยู่มายาวนานควบคู่กับพระนครหลวงของเรา ก็หาได้เคยสร้างเครื่องมงคลอันใดให้เป็นที่แพร่หลายไม่ เหตุเพราะไม่มีความจำเป็นอะไรประการหนึ่ง และเพราะขึ้นตรงต่อสำนักพระราชวังในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประการหนึ่ง ดังนั้น การทำสิ่งใดจึงต้องรอบคอบและถูกถ้วนเสมอ เพื่อมิให้กระทบกระเทือนถึงเบื้องพระยุคลบาทได้ฉะนั้น แต่ไหนแต่ไรตลอด 220 ปีมานี้ ทุกพิธีกรรม ทุกวัตถุมงคลที่สร้างล้วนเป็นไปเพื่อทูลเกล้า ฯ ถวายแด่องค์พระประมุขและพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้น ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะถึงแก่ประชาชนได้
นอกจากการเปิดเทวสถานให้เข้าไปสักการะองค์เทพเฉพาะในวันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น เพียงสองวันเท่านั้นข่าวที่ผมรับทราบจากโทรทัศน์เคยมีว่าคณะพราหมณ์ได้สร้างเทวรูปพระพรหมทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สร้างเทวรูปพระตรีมูรติทองคำทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเทวรูปพระนารายณ์ทองคำทูลเกล้า ฯ ถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เป็นต้นผมอนุโมทนาอยู่เงียบ ๆ คนเดียวจวบจนปีหนึ่งรู้สึกจะเป็น พ.ศ. 2539 คณะพราหมณ์นำโดยพระราชครูวามเทพมุนี (ชวิน รังสิพราหมณกุล) ได้ทำการสร้างเทวรูปพระพิฆเนศวรเนื้อนวโลหะหน้าตัก 9 นิ้วขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตอนนี้เองที่สายฝนแห่งบุญกุศลได้โปรยปรายตกต้องถึงประชาชนชาวสยามด้วยคณะพราหมณ์มีมติให้สร้างเทวรูปพระคเณศขนาดหน้าตัก 3 นิ้ว 5 นิ้ว และ 9 นิ้วให้ประชาชนบูชาด้วย จำได้เลา ๆ ว่าหน้าตัก 9 นิ้วองค์ละหนึ่งหมื่นสองพันบาทหรือยังไงนี่แหละราคาค่อนข้างสูงเพราะศิลปะที่งดงามจำลองจากองค์จริงในเทวสถานได้เหมือนสุด ๆ อีกทั้งเนื้อหาชนวนมวลสารยังเป็น นวโลหะ ทุกองค์พูดถึงการปรุงเนื้อพระกระแสต่าง ๆ แล้วย่อมหมดสงสัยได้แม้เป็นคณะพราหมณ์ เพราะในสมัยแห่งการเทพระกริ่งยังเฟื่องฟูอยู่ในยุคแห่งองค์สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทโว) วัดสุทัศน์เทพวรารามนั้น ก็ได้พราหมณ์แห่งเทวสถานนี้แลเป็นผู้คำนวณฤกษ์ บวงสรวงเทวดาฟ้าดิน บูชาพระเกตุ บูชาฤกษ์ ประกาศสังเวยเทวดา และร่วมอยู่ในพิธีเททองจนเสร็จสิ้น จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการประกอบพิธีพุทธาภิเษก ซึ่งก็พราหมณ์ที่นี่อีกจัดตั้งราชวัติฉัตรธงโยงสายสิญจน์ร่วมกันในพิธี ตลอดจนทำน้ำเทพมนต์โดยพราหมณ์ควบคู่กับการทำน้ำพระพุทธมนต์โดยสงฆ์ไม่รู้กี่ครั้งกี่วาระจนตกทอดเรื่อยมาถึงสมัยแห่ง พระมงคลราชมุนี (สนธิ์ ยติธโร) พระศรีสัจจญาณเถร (ประหยัด ปัญญาธโร) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม จันทสิริ) เป็นอาทิแล้วอย่างนี้จะไม่ให้พราหมณ์ที่นี่เก่งกล้าสามารถอย่างไรได้ มีหลักฐานปรากฏชัดว่าคณะพราหมณ์แห่งเทวสถานได้ศึกษาหาความรู้แลกเปลี่ยนวิชากันในสายวัดสุทัศน์ ฯ ยุคต้น นับแต่สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวัฒโน) พระอุปัชฌาย์ในสมเด็จพระสังฆราชแพ เรื่อยมาจนถึงท่านเจ้าคุณประหยัดอันเป็นศิษย์ในสมเด็จพระสังฆราชแพรุ่นเล็กนวโลหะน่ะหรือ ?ที่นี่ก็ทำเป็น ไปชมได้เลยกับโลหะธาตุ 9 ชนิดที่ตั้งแสดงไว้ในโบสถ์พระศิวะครั้นออกพระคเณศนวโลหะให้บูชาเป็นสมบัติทั่วกัน โดยไม่ต้องประกาศใด ๆ ไม่กี่เพลาก็หมดไปจากเทวสถานอย่างรวดเร็ว แม้เจ้าหน้าที่หรือพราหมณ์ในเทวสถานเองก็ยังไม่ทันได้บูชาเก็บไว้เป็นสมบัติตน เห็นชัดถึงความเชื่อถือในเครดิตของคณะพราหมณ์ที่นี่และเลื่อมใสในมหิทธิฤทธิ์ของเทพเจ้าที่ประทับในโบสถ์พราหมณ์ก็ที่นี่เป็นโบสถ์พราหมณ์อายุสองร้อยกว่าปีอบอวลด้วยพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้กี่ร้อยพันหมื่นพิธี ผู้ประกอบพิธีเป็นพราหมณ์ที่สืบเชื้อสายและรับวิชามาอย่างถูกต้องตามโบราณาจารย์วางแบบไว้ เป็นผู้ชำนาญในฤกษ์และวันอันมงคล ชาญในพระเวทที่อาจเข้าเฝ้าเหล่าเทพเจ้าเบื้องบนได้โดยผ่านทางพิธีกรรมเช่นนี้แล้วก็ไม่มีอะไรให้สงสัยแว่วมาว่าโบสถ์พราหมณ์อาจจัดสร้างพระคเณศเป็นรุ่นที่สองด้วยทนเสียงเรียกร้องไม่ไหว อีกทั้งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่มีในเทวสถานแห่งนี้ก็เป็นภาระอันใหญ่ที่ผู้ดูแลต้องขวนขวายหามารักษา ทั้งเรื่องของ น้ำประปา โทรศัพท์ ความชำรุดทรุดโทรมของสถานที่ซึ่งมีอายุถึง 220 ปีอันต้องคอยบูรณะกันอยู่เสมอ พิธีกรรมที่ต้องประกอบด้วย ผลไม้ ดอกไม้ ธูป เทียน สายสิญจน์ และอีกจิปาถะซึ่งคนเคยทำพิธีหรือเคยอยู่ในพิธีจะรู้ดีว่ามีค่าใช้จ่ายเพียงใดไม่ใช้เงินจะใช้อะไร...?เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ถ้าจะว่าไปก็คือหน่วยงานราชการเล็ก ๆ หน่วยหนึ่ง ผมไม่ทราบหรอกว่าเรื่องปัจจัยปรุงแต่งภายในของเขาจะเป็นอย่างไร ทราบเพียงว่า แต่ไหนแต่ไรคำว่าหน่วยงานราชการถ้าไม่สำคัญจริงแล้วงบประมาณเป็นอันว่าได้น้อยเหลือกำลังต่อจากนั้นแล้วจงขวนขวายช่วยตนเองเถิด
ในปี พ.ศ. 2545 นี้โบสถ์พราหมณ์ต้องขวนขวายช่วยเหลือตัวเองครั้งใหญ่ ด้วยปรากฏว่าโบสถ์ทั้งสามหลังมีความชำรุดทรุดโทรมเป็นอันมาก อีกทั้งเครื่องบนของตัวโบสถ์ก็ไม่แน่ว่าจะอยู่ในสภาพที่ดีพอหรือไม่ เพราะตลอดสองร้อยกว่าปีไม่เคยได้ปฏิสังขรณ์กันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวดังนั้น เทวสถานจึงทำเรื่องแจ้งไปยังสำนักพระราชวังถึงการนี้ ทางสำนักฯ ก็มอบปัจจัยมาจำนวนหนึ่งซึ่งแน่นอนว่าไม่พอกับการบูรณะ เทวสถานจึงต้องหาปัจจัยเพื่อการซ่อมแซมโดยวิถีอื่นอีกในที่สุดก็มีช่องทาง เมื่อทำการรื้อกระเบื้องมุงหลังคาโบสถ์ทั้งสามหลังลงมาแล้วพบว่ากระเบื้องหลายแผ่นแตกร้าวชำรุดเป็นอันมาก จำต้องล้างแล้วคัดแยกนำกระเบื้องที่ดีกลับไปใช้ใหม่ ส่วนที่แตกร้าวก็มีมติให้นำมาป่นเป็นผงละเอียดเพื่อสร้างเป็นพระพิมพ์ของมหาเทพทั้งสามองค์เพราะเหตุใด ?ก็กระเบื้องดังว่านั้นมีอายุถึงสองร้อยกว่าปี ทำมาแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ทีเดียว ซ้ำยังผ่านพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ มานับร้อยนับพันพิธี อบอวลด้วยพระเวทและมนตรานับไม่ถ้วนบทที่เหล่าพราหมณ์สาธยายเป็นเทวบูชา พร้อมทั้งพิธีเทวาภิเษกที่จัดอย่างมโหฬารไม่รู้อีกกี่พิธีอัญเชิญเทพพรหมทั่วท้องจักรวาลความศักดิ์สิทธิ์ย่อมซึมซับไปทั่วทุกแห่งหนในอาณาบริเวณที่กำหนดไว้ว่าเป็น เทวาลัย คือที่อาศัยแห่งเทพหรือเขตแห่งเทวดานั่นแล
ดูแต่กระเบื้องวัดไร่ขิงนั่นปะไร รื้อลงมากองทิ้งอยู่ข้างโรงลิเกอย่างไม่รู้จะกำจัดอย่างไรดี อยู่ ๆ มามีคนขี้เมาชักปืนออกยิงเล่นกลับกระสุนด้านเสียนี่ นึกว่าบังเอิญเลยหิ้วไปยิงต่อที่บ้านทำยังไงก็ยิงไม่ออก พอดังเข้าคนก็ลุยจนเละร้อนถึงทางวัดต้องเข้ามาคุมเห็นค่ากันล่ะทีนี้เอามาป่นทำพระเสียแหละดี ความที่มีกระเบื้องเยอะทุกวันนี้ก็ยังมีพระให้เช่ากันที่วัดไร่ขิง องค์ละยี่สิบบาทเอง ทำเป็นพระเครื่องแล้วยิ่งมีอานุภาพ มีประสบการณ์กันน่าดู ไปวัดไร่ขิงเมื่อไรฟังกันเพลินทีเดียว ถามชาวบ้านดูเถิดว่าคุณวิเศษในหลวงพ่อวัดไร่ขิงนั้นมีเท่าไร เล่าสามวันสามคืนก็ไม่หมดเห็นไหมล่ะ
อานุภาพกระเบื้อง รมมนต์ โบสถ์พราหมณ์เขาก็มีพิธีไม่ต่างกัน ดังนั้น เมื่อทำพระเครื่องเป็นครั้งแรกในชีวิตย่อมต้องพิเศษและยิ่งใหญ่ไม่ให้เสียชื่อคณะพราหมณ์ผู้ชาญพระเวทและเป็นเจ้าแห่งพิธีกรรมปฐมเหตุเริ่มที่เทวสถานทำการปฏิสังขรณ์โครงหลังคาโบสถ์ทั้งสามหลังและเปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคาอายุ 218 ปีในบางส่วน คือแยกคัดล้างเอาแผ่นที่ดีกลับขึ้นไปใช้งานต่อ ในแผ่นที่แตกร้าวชำรุดซึ่งมีจำนวนไม่น้อย ก็นำมาบดเป็นผงละเอียดปรุงร่วมกับมวลสารศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่ทางเทวสถานมีเพื่อการทำเป็นพระพิมพ์กำหนดว่าจักแกะพิมพ์ขึ้น 3 รูปแบบ ประกอบด้วยพิมพ์รูปเหมือนของ พระศิวะ พระนารยณ์ และ พระพิฆเนศวร โดยมอบให้ อาจารย์บุญส่ง นุชน้อมบุญ อาจารย์กรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบพระพิมพ์ และในวันขึ้นแบบแม่พิมพ์ตรงกับวันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2545 อันเป็นวันธงชัยตามหลักโหราศาสตร์
ได้อาราธนาพระอาจารย์สิงทน นราสโภ วัดพระพุทธชินราช พุทธชิโนฮิลล์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มานั่งปรกเป็นปฐมฤกษ์และขณะที่ขึ้นแบบนั้นพราหมณ์ก็ได้ทำพิธีบวงสรวงบูชาฤกษ์พร้อมกันเมื่อบล็อคและมวลสารครบถ้วนจึงได้ทำการประสมเนื้อกดพระทั้งสามพิมพ์ตามฤกษ์ยามที่กำหนด ระหว่างนั้นก็เตรียมการประกอบพิธีเทวาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่มโหฬารซึ่งหลายท่านอาจไม่ทราบ เพราะทางเทวสถานไม่ได้ประชาสัมพันธ์หนักหน่วงดังเช่นวัดวาต่าง ๆ อย่างที่เราพึงคุ้นหูนับว่าดีไปอย่าง ด้วยการประกอบพิธีที่เป็นไปอย่างเงียบเชียบไม่อึกทึกวุ่นวายย่อมทำสมาธิให้เกิดกับผู้ประกอบพิธีทุกท่าน แม้ผู้อยู่ร่วมพิธีก็ยังสัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งครอบคลุมในทุกอณูของบรรยากาศกำหนดการมหาเทวาภิเษกได้จัดขึ้นตั้งแต่วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 ถึง วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 รวม 4 วัน 4 คืน โดยก่อนประกอบพิธีเทวาภิเษกนั้น ท่านพระราชครูวามเทพมุนีหัวหน้าคณะพราหมณ์ได้นำพระพิมพ์ทั้งสามแบบ แบ่งแยกกันลงบรรจุเป็นลำดับชั้นในตู้แก้วใบมโหฬารนับได้สามตู้ทำไมต้องแยก...?เพราะเทพเจ้าทั้งสามองค์ย่อมต้องได้รับการปลุกเสกและประกอบพิธีกรรมโดยวิธีการแลพระเวทอันพึงสวดซึ่งต่างกัน ต่างแม้กระทั่งน้ำที่จะสรง ดอกไม้ที่จะโปรย ใบไม้ที่จะบูชา...ละเอียดประณีตดีไหม !!เรื่องสุกเอาเผากินหรือทำอย่างลวก ๆ ลน ๆ ไม่สามารถมีได้ในกลุ่มพราหมณ์ที่ทรงภูมิรู้แท้จริง ที่สำคัญเป็นผู้สนองงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสียด้วยต้องรู้ให้จริง...ต้องทำให้เป็น...และในตู้ทั้งสามใบใช่จะเป็นเพียงตู้ใส่พระพิมพ์ก็เปล่า หากบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ถือว่าเป็นมหามงคลอย่างเอกอุ เพื่อหวังผลในความชุ่มชื่นเยือกเย็นและเบิกบาน น้ำเป็นสิ่งที่ให้ชีวิต ทุกสรรพสิ่งถ้าขาดน้ำก็ตาย ศาสนาพราหมณ์มีความเชื่ออันหนึ่งว่าน้ำเป็นสิ่งที่ชำระทุกข์โทษและบาปได้ แต่น้ำนั้นจำเป็นต้องมาจาก...แม่น้ำคงคาด้วยเชื่อว่าแม่น้ำคงคาเป็นสายน้ำที่ไหลมาจากมวยผมแห่งพระศิวะ เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์เพราะไหลมาจากภูเขาหิมาลัยที่ชาวฮินดูศรัทธาว่าเป็นจุดตั้งเขาไกรลาส ทิพยวิมานของพระศิวะนั่นเองไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพระราชครูวามเทพมุนีได้เดินทางไปอัญเชิญน้ำจากแม่น้ำคงคาในประเทศอินเดียมาด้วยตัวเอง เทลงผสมกับน้ำศักดิ์สิทธิ์อีกสองแหล่งคือ น้ำมนต์สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 220 ปีหรือน้ำมนต์นครฐานสูตร (นะคะระฐานะสูตร) และ น้ำเทพมนต์อายุ 100 ปีของเทวสถานโบสถ์พราหมณ์เองการแช่น้ำมนต์นั้นมิได้แช่เพียงแค่วันสองวัน ทว่าบรรจุอยู่อย่างนั้นนับแต่วันลงแช่ครั้งแรกคือวันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคมจนตลอดพิธีกรรม 4 วัน 4 คืน และแม้พิธีเทวาภิเษกแล้วเสร็จก็ยังไม่ได้นำขึ้นหากปล่อยให้เอิบอาบอย่างนั้นอยู่ในโบสถ์อีก 2 วัน จึงทยอยกู้ขึ้นมาทีละตู้เริ่มแต่พระคเณศ พระศิวะ พระนารายณ์ เป็นลำดับ และอบไว้ในโบสถ์อีก 7 ราตรีนี่แหละ ! แช่น้ำมนต์ของจริงพิธีในวันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 เริ่มขึ้นแต่เช้ามืดในเวลา 05.30 น. อันเป็นอุดมมงคลฤกษ์ โดยพระราชครูวามเทพมุนี (ชวิน รังสิพราหมณกุล) เป็นผู้ประกอบพิธีบูชาฤกษ์และบวงสรวงเทพเจ้าเหล่าพรหมตลอดทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุ อัญเชิญท่านผู้วิเศษมาอำนวยพรให้การประกอบพิธีเป็นไปโดยราบรื่นและศักดิ์สิทธิ์ทุกขั้นตอนวันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 เริ่มพิธีในเวลา 09.00 น. โดยคณะพราหมณ์จากอินเดียใต้ซึ่งประจำอยู่ที่วัดพระศรีมหาอุมาเทวี (วัดแขกสีลม) ทำพิธีบวงสรวงมหาเทพทั้งสามพระองค์ และพระแม่ศักตีเพื่อขอพรจากพระองค์ให้วัตถุมงคลมีอานุภาพไพศาล จากนั้นจึงเริ่มประกอบพิธีเทวาภิเษกตามแบบฉบับของพราหมณาจารย์ในอินเดียตอนใต้ ซึ่งเครื่องบูชาในพิธีของพราหมณ์จากวัดพระศรีมหาอุมาเทวีนี้ นับว่าสวยงามอลังการมาก ดูเข้มขลังทรงอานุภาพ น่าศรัทธาอย่างยิ่งยวด สมเป็นสาวกของพระแม่อุมาปารวตีผู้ทรงไว้ซึ่งอานุภาพและอิทธิฤทธิ์อย่างยากจะหาเทพนารีองค์ใดมาเทียบเทียม ขนาดพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือ เสด็จเตี่ย ก็ยังทรงให้ความเคารพเป็นล้นพ้น ต้องนำภาพวาดรูปเหมือนพระแม่อุมาเทวีขนาดใหญ่ยักษ์ประดิษฐานไว้กราบไหว้บูชาในพระตำหนักดำ อันเป็นสถานที่เก็บเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงและใช้ประกอบพิธีกรรมในพระองค์ ชิ้นส่วนกะโหลกศีรษะแม่นาคก็ทรงเก็บไว้ที่นี่เช่นกันผมได้ยินมามากรายที่กล่าวขานถึงอานุภาพในองค์พระอุมาเทวี โดยผู้ยกย่องนั้นล้วนเป็นผู้ทรงภูมิในทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านเหล่านั้นได้พบเจอพระอุมาโดยสมาธิอย่างไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ก็สรรเสริญว่าเป็นเทพชั้นสูงมีบารมีมาก โดยเฉพาะทางอิทธิฤทธิ์เชิงบู๊อย่างคงกระพันกันเขี้ยวงานี่ฉมังนัก ไว้มีโอกาสผมจะเล่าสู่กันฟังพิธีเทวาภิเษกในวันนี้ดำเนินอย่างยาวนานและสิ้นสุดลงในเวลา 20.00 น. เป็นอันว่าจบสมบูรณ์ในส่วนของพราหมณ์จากอินเดียตอนใต้วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 เริ่มพิธีในเวลา 15.00 น. โดยบัณฑิต วิทยาธร สุกุลพราหมณ์ และ พราหมณ์จากอินเดียตอนเหนือ ทำพิธีบวงสรวงมหาเทพในศาสนาทั้งหมดโดยเฉพาะ พระศิวะ พระนารายณ์ และ พระคเณศ ผู้เป็นเจ้าของงาน โดยจัดพิธีกองกูณฑ์อัคคีหรือการบูชาไฟ เผากำยาน น้ำมันเนย อัญเชิญเทพเจ้าลงมาร่วมพิธี ประกอบพิธีสรงน้ำผ่านใบไม้มงคลประจำองค์เทพเจ้า โดยพระศิวะสรงน้ำศักดิ์สิทธิ์ผ่านใบมะตูม พระนารายณ์สรงผ่านใบต้นตุลสี (ต้นกะเพรา) และพระคเณศสรงผ่านใบหญ้าคา ซึ่งในขั้นตอนนี้เองที่มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้น แต่เหตุการณ์นี้สายตามนุษย์เช่นเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่อาจแลเห็น หากเลนส์กล้องซึ่งมีความไวแสงสูงกลับจับภาพประหลาดบางอย่างได้คือ
ขณะที่พราหมณ์กำลังทำพิธีสรงน้ำศักดิ์สิทธิ์ผ่านใบมะตูมในหลัวไม้ไผ่อยู่นั้น เกิดมีหมอกควันสีขาวสะอาดลอยครอบคลุมร่างกายของพราหมณ์ทุกท่านไว้ และพาดผ่านเป็นแนวยาวไปจนถึงตู้ที่บรรจุพระพิมพ์อยู่ ซึ่งตู้ที่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังสรงและใบมะตูมที่น้ำกำลังผ่านนั้น...เป็นตู้พระศิวะ !!เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ในสามโลก เทพบดีผู้ปกครองหมู่เทพที่เป็นสัมมาทิฏฐิ และเทวาธิราชผู้เป็นเจ้าของโบสถ์หลังที่กำลังประกอบพิธีนี่อาจเป็นประจักษ์พยานที่หนึ่งซึ่งจะกล่าวได้หรือไม่ว่า พระมหาเทพได้ลงมาร่วมในพิธีสมดังคำสวดอ้อนวอน อำนวยพรให้พระพิมพ์มีผลานุภาพเป็นไปตามที่ผู้บูชาอธิษฐาน และถ้าพยานปากที่หนึ่งนี้ทุกท่านว่ายังมีน้ำหนักไม่พอ อีกสักครู่ผมจะพาท่านไปพบพยานปากที่สองครั้นบวงสรวงแล้วเสร็จจึงประกอบพิธีเทวาภิเษกตามแบบอย่างบูรณาจารย์ของอินเดียตอนเหนือ จบพิธีลงอย่างสมบูรณ์ในเวลา 18.30 น.
วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 จัดพิธีมหามังคลา-เทวาภิเษกโดยนิมนต์พระเถรานุเถระที่ทรงวิทยาคุณมาร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสก ทั้งนี้ได้จัดให้มีการสวดพุทธาภิเษกตามแบบอย่างที่ถูกต้องในทางสงฆ์ดังเช่นที่วัดสุทัศน์ ฯ ได้ถือปฏิบัติมา มีกำหนดการดังนี้1. นิมนต์พระธรรมยุติเจริญพระพุทธมนต์ และ สวดมังคลาภิเษก โดยพระปฏิบัตินั่งปรก2. นิมนต์พระมหานิกายเจริญพระพุทธมนต์ และ สวดมังคลาภิเษก โดยพระปฏิบัตินั่งปรก3. นิมนต์พระรามัญเจริญพระพุทธมนต์ และ สวดมังคลาภิเษก โดยพระปฏิบัตินั่งปรกเริ่มพิธีในเวลา 10.01 น. สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เป็นองค์ประธานจุดเทียนชัยและคณะสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหารสวดคาถาจุดเทียนชัย เจริญพระธรรมจักรกัปปวัตนสูตรเต็มบท เสร็จพิธีในส่วนนี้ก็ถวายภัตตาหารเพล จากนั้นประธานพิธีถวายเครื่องไทยธรรม คณะสงฆ์กล่าวอนุโมทนา กรวดน้ำเวลา 13.00 น. คณะสงฆ์ธรรมยุตินิกายจากวัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม จำนวน 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์เจ็ดตำนาน ประธานสงฆ์จุดเทียนพุทธาภิเษก พระพิธีธรรม 4 รูปจากวัดสุทัศน์เทพวรารามสวดพุทธาภิเษก พระมหาเถระนั่งปรก 2 รูป คือ
1. พระครูการุณยธรรมนิวาส (หลวงปู่หลวง กตปุญโญ) วัดป่าสำราญนิวาส อ. เกาะคา จ. ลำปาง หลวงปู่หลวงนี้เป็นศิษย์ในสายท่านพระอาจารย์มั่นองค์หนึ่งที่ทรงภูมิธรรมและอำนาจจิตเป็นอย่างสูง สิ่งหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้ท่านมากคือ ชานหมาก อันเป็นของว่างที่ท่านเคี้ยวแล้วทิ้ง หากผู้ศรัทธาที่เก็บไปบูชาเกิดมีประสบการณ์อัศจรรย์กับคำหมากท่านมากมาย ได้ยินมาว่าแม้รถที่กำลังจะคว่ำยังเห็นหลวงปู่ไปช่วยประคองไว้มิให้คว่ำได้ และในรถคันนั้นก็มีชานหมากอยู่คำหนึ่งหมากเป็นของที่เคี้ยวประเดี๋ยวประด๋าวไม่นานนักก็คาย ถ้าทำของทิ้งให้มีอานุภาพขึ้นมาได้ภายในเวลา ชั่วเคี้ยวหมากแหลก ก็อย่าไปสงสัยเลยหากท่านผู้นั้นจะตั้งใจเสกวัตถุมงคลด้วยเวลา 2 ชั่วโมงจะดีแค่ไหนคงต้อง ใช้ ดูเอง
2. พระปัญญาพิศาลเถร (หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล) วัดอนาลโย ต. ต๋อม อ. เมือง จ. พะเยา บอกได้เต็มปากอย่างไม่ต้องเกรงใจกันเลยว่า ผมดีใจที่สุดเมื่อเห็นรายชื่อและรูปหลวงพ่อไพบูลย์มาร่วมอธิษฐานจิต เพราะผมถวายเครดิตแก่ท่านในพิธีนี้อย่างสุดส่วนเต็มขั้วหัวใจ พร้อมกันนั้นก็นึกสรรเสริญผู้นิมนต์พระว่า ช่างตาถึง และเก่งเหลือเกิน ขอบคุณจริง ๆเพราะอะไร ?โธ่ ! คุณ เราสร้างพระอะไร รูปบูชาของใคร ถ้าคนฉลาดย่อมต้องหาผู้เสกที่ควรกัน เรียกว่าท่านทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน นับถือกัน เช่น พ่อหลวงสงฆ์ จันทสโร วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จ. ชุมพร ควรที่จะเสกพระบรมรูปของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เพราะ เสด็จเตี่ย เคารพท่าน แม้มีแต่ดวงพระวิญญาณยังไปต่อว่าพ่อหลวงสงฆ์ว่า “ผ่านบ้านแต่ไม่แวะเยี่ยมเลยนะ” บ้านดังท่านว่าก็คือศาลที่หาดทรายรี จ.ชุมพรนั่นเอง ภายหลังหน่วยงานราชการสร้างเหรียญกรมหลวงชุมพรได้นิมนต์พ่อหลวงสงฆ์เสกที่ใต้กระบอกปืนใหญ่เรือหลวงชุมพร นี่เรียกว่าควรหรืออย่างเจ้าแม่กวนอิม ที่ต้องเสกโดยหลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ วัดประดู่ฉิมพลี อันนี้ก็ควร ด้วยท่านทั้งสองเคยพบเจอกันในนิมิตจากนั้นก็ติดต่อกันเสมอ เรื่องนี้จะฟังให้มันส์ต้องฟังอาจารย์เบิ้มเล่า หรือพระพรหมที่หากเป็นหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา อธิษฐานจิตก็เป็นอันว่าลงใจสนิท ฤาษีต้องเป็นหลวงปู่พรหมา เขมจาโร วัดสวนหินฯ กุมารทองต้องหลวงพ่อเต๋ คังคสุวัณโณ วัดสามง่าม ดังนี้เป็นต้น เพราะท่านเหล่านี้...เป็นคู่บารมีกันลองสับกันสิ เอาฤาษีไปให้หลวงปู่ดู่เสกก็เสร็จ ท่านจับบวชพระหมด เอากุมารทองไปให้หลวงปู่โต๊ะท่านก็บ่นพึม ก็ท่านไม่ใช่คู่กันฉันใดก็ดี หลวงพ่อไพบูลย์ก็ฉันนั้น ผมไม่อาจเล่าเท้าความได้ถึงการพบเจอพระศิวะมหาเทพและพระพิฆเนศวรเทพแห่งวิทยาการในองค์หลวงพ่อไพบูลย์ ด้วยเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันไปถึงสถาบันระดับสูงของประเทศชาติ แต่เมื่อพูดถึงตรงนี้ใครที่เคยได้ฟังจากหลวงพ่อย่อมต้องร้องอ๋อทันทีและถือว่าเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ที่สุดเรื่องหนึ่งบอกตรงนี้ดัง ๆ เลยว่า หลวงพ่อไพบูลย์เป็นพระมหาเถระที่ทรงอภิญญาระดับสูง อย่างหาผู้เปรียบได้ยาก คนติดรูปเมื่อเห็นวัดท่านอาจถอยศรัทธาด้วยสวยเกินไปแต่อย่าลืมมอง ข้างในหลวงพ่อไพบูลย์องค์นี้ผมยืนยันกับทุกท่านเลยว่าเป็นองค์หนึ่งที่เคยพบเจอพระศิวะมานับครั้งไม่ถ้วน พระศิวะผูกพันกับหลวงพ่อมาก เห็นจะเป็นด้วยบุรพกรรมที่ร่วมสร้างกันมา มหาเทพพระองค์นี้เคยช่วยหลวงพ่อในกิจต่าง ๆ มากครั้งด้วยกัน แต่ละวาระเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ชวนขนหัวลุกสำหรับผู้ไม่ประสาเช่นผมเป็นเครื่องยืนยันถึงความมีอยู่จริงของเทพองค์นี้อยากบอกว่ามิใช่เพียงหลวงพ่อเท่านั้นที่เคยเกี่ยวข้องกับพระศิวะ แม้องสรภาณมธุรสหรือท่านบ๋าวเอิง แห่ง วัดสมณานัมบริหาร (วัดญวณสะพานขาว) ก็เคยได้สัมผัสพระศิวะมาแล้ว หรือสตรีนักปฏิบัติธรรมที่อัฐิกลายเป็นพระธาตุอย่างมหาอุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม วัดอาวุธ-วิกสิตาราม ก็เคยข้องเกี่ยวกับพระศิวะเทพเช่นกันโดยที่ท่านเหล่านี้ไม่ได้ถือว่าพระศิวะเป็นสรณะอันเกษมสูงสุดไปกว่าพระรัตนตรัย หากเป็นผู้ร่วมทางในการบำเพ็ญธรรมที่ควรเกื้อกูลกันต่างหากนี่คือสิ่งที่ท่านมองแม้พระคเณศก็เช่นเดียวกัน เป็นอะไรที่หลวงพ่อไพบูลย์ได้พบปะกันบ่อย ๆ จนที่วัดยังต้องมีรูปเคารพพระคเณศให้คนแปลกใจว่าทำไมหลวงพ่อจึงนำสิ่งที่มิใช่พระพุทธศาสนาเข้าวัดเรื่องภพชาติเป็นของละเอียดเกินจะอธิบายใครจะล่วงรู้ได้ว่าใครเคยเกิดเป็นพ่อแม่พี่น้องบุตรธิดากันมาก่อน หากมิใช่ผู้ทรงญาณหยั่งรู้โดยทางปฏิบัติภาวนา เอาเป็นว่าหลวงพ่อไพบูลย์รู้จักและเคารพนับถือกันเป็นอย่างดีกับพระศิวะและพระพิฆเนศวร เมื่อท่านมาประกอบพิธีเสกถึง บ้าน ของมหาเทพทั้งสอง จงอย่าสงสัยถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสำเร็จผลในการเสกเลย ท่านต้องติดต่อให้ทั้งสองพระองค์มาร่วมเสก ร่วมรับทราบแน่นอน ไม่ใช่หลับหูหลับตาเสกอย่างเสกพระพุทธหรือตะกรุดเครื่องรางก็แล้วกันเวลา 17.00 น. พระสงฆ์มหานิกายจากวัดสุทัศน์เทพวราราม จำนวน 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์ พระพิธีธรรมจากวัดสุทัศน์ ฯ 4 รูป สวดพระทิพยมนต์ และ มหาสมัยสูตร อันเป็นพระสูตรที่เหล่าเทพยดาโปรดปรานยิ่งนัก
และมีพระมหาเถระในมหานิกายนั่งปรก 3 รูป ดังนี้
1. พระครูวินัยวัชรกิจ (หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม) วัดตาลกง ต. มาบปลาเค้า อ. ท่ายาง จ. เพชรบุรี หลวงพ่ออุ้นเป็นศิษย์ในหลวงพ่อทองสุข ธัมมโชโต วัดโตนดหลวง ซึ่งเป็นพระเถระที่เรืองวิชาอย่างมาก ในเมืองเพชรบุรีและปริมณฑลยุคก่อน ใครจะศึกษาไสยเวทพุทธาคมล้วนต้องมุ่งหน้าไปวัดโตนดหลวงทั้งสิ้นหลวงพ่อทองสุขมีวิชาอาคมที่เข้มขลังยิ่งนัก เป็นพระภิกษุรูปเดียวที่มีหลักฐานว่าได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ลงอักขระกระหม่อมของในหลวงองค์ปัจจุบัน ถือเป็นเกียรติประวัติแก่หลวงพ่ออย่างมาก หลวงพ่ออุ้นได้รับวิชามาหลายแบบด้วยกัน โดยเฉพาะการลงตะกรุดโทนด้วยยันต์ครู การลบผงพระจันทร์ครึ่งซีกอันเป็นมหานิยมอย่างสุดยอด ฯลฯ รวมไปถึงความเมตตาที่หลวงพ่อมีให้ผู้ไปกราบอย่างเสมอภาคทุกคน ทำให้ท่านเป็นที่เคารพรักในศิษย์ทุกระดับชั้นข่าวขลังแห่งท่านปรากฏเมื่อราวปี 2540 เมื่อคนถูกยิงแบบเผาขนแต่กระสุนไม่ลั่น ถ้าจำไม่ผิด ยิง 3 นัด ออก 1 นัด แต่ไม่เข้า เป็นผลให้เหรียญรุ่นแรกที่มีราคาออกจากวัดไม่กี่บาทพุ่งพรวดเป็นหลักพัน ผมเรียนถามท่านถึงเหตุการณ์นี้ท่านได้แต่ยิ้ม ๆ อย่างไม่อยากคุยถึงความเก่งของตัวเองเป็นพระที่กราบได้สนิทใจองค์หนึ่งรีบไปเสียนะเมื่อเห็นหลวงพ่ออุ้นมาร่วมเสกพระชุดนี้ผมก็ยิ่งมั่นใจ นอกเหนือไปจากที่หลวงพ่อจะเก่งจริงแล้วยังเป็นเรื่องทางใจ คือท่านไม่รังเกียจเรื่องของเทพเจ้าเหล่าพรหม พระสงฆ์บางรูปไม่ชอบเรื่องเทวดา บางทีเลยไปถึงไม่เชื่อว่าเทพองค์นั้น- องค์นี้จะมี ก็ป่วยการเชิญท่านมาเสก แต่เป็นหลวงพ่ออุ้นแล้วผมมั่นใจแนบไฟล์
2. พระครูปราสาทพรหมคุณ (หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ) วัดเพชรบุรี ต. ทุ่งมน อ. ปราสาท จ. สุรินทร์ หลวงปู่หงษ์เป็นพระผู้เฒ่าที่แตกฉานในไสยศาสตร์ทุกกระบวน สมเป็นพระที่สืบเชื้อสายจากชาวเขมรที่เลื่องลือว่าเป็นเอกในไสยวิชา ผมยังไม่เคยเห็นใครทำคงกระพันได้อย่างท่าน นั่นคือยิงโดนหน้าอกแล้วไม่เข้าอันนี้ไม่แปลกเห็นกันทั่วไป แต่ที่ลูกปืนกระทบหน้าอกแล้ววิ่งอ้อมไปตกด้านหลังนี่นับว่าน่าตื่นตะลึง ไม่รวมมหาอุดหยุดปืน แคล้วคลาด และมหากำบังที่ท่านทำได้อย่างไม่น่าเชื่อท่านเป็นอีกองค์หนึ่งที่ไม่รังเกียจเรื่องเทวดา หนำซ้ำยังผูกพันให้ความเคารพไม่ดูหมิ่นกันอีกด้วย ท่านนับถือพระคเณศว่าเป็นครูมีเรื่องแปลกที่ควรบันทึกไว้ซึ่งผมว่าน่าชื่นใจสำหรับผู้จัดพิธีนี้และผู้เลื่อมใส กล่าวคือการประกอบพิธีเทวาภิเษกนั้นได้จัดขึ้นที่โบสถ์ใหญ่ซึ่งเป็นเทวาลัยของพระศิวะ ขณะที่หลวงปู่หงษ์กำลังปลุกเสกอยู่นั้นเอง ท่านเห็นชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่เกินมนุษย์ยืนกางขาคร่อมโบสถ์เอาไว้เหมือนอย่างจะแสดงแสนยานุภาพ เมื่อท่านกำหนดดูก็รู้ทันทีว่าบุรุษลึกลับผู้มาอย่างปาฏิหาริย์นี้คือพระศิวะทว่าท่านมิได้บอกเล่าเรื่องนี้ในเทวสถานแต่อย่างใด หากเล่าแก่ศิษย์คนสนิทคือคุณป๋องให้ฟังภายหลังว่า“เจ้าของโบสถ์เขาก็มา มายืนคร่อมอยู่อย่างนี้” ซึ่งคุณป๋องก็ได้นำมาบอกเล่าให้คุณหนุ่ยเจ้าหน้าที่โบสถ์พราหมณ์คนหนึ่งฟังอย่างเลื่อมใสเป็นพยานอีกองค์หนึ่งว่าพระศิวะมีตัวตนและนี่คือพยานที่สองในเรื่องของโบสถ์พราหมณ์หลวงปู่ไม่เล่าในวันงานนั้นนับว่าดี มิฉะนั้นคนอาจมองว่าท่านพูดอย่างเอาใจเจ้าภาพ แต่เมื่อท่านเล่าให้คนกันเองฟังภายหลัง ผมว่าสิ่งที่ท่านเห็นท่านต้องมั่นใจจริง ๆ ผมก็มั่นใจท่านเช่นกัน
3. พระอาจารย์สิงทน นราสโภ วัดพระพุทธชินราช พุทธชิโนฮิลล์ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ท่านพระอาจารย์องค์นี้ผมไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารของท่านมากนัก ด้วยท่านอยู่ไกลจากผมพอสมควร แต่เคยได้ยินกิตติคุณในท่านอยู่เหมือนกันว่าท่านเก่ง เอาไว้ผมได้สัมผัสท่านอย่างใกล้ชิดเมื่อไรจะกลับมาบรรยายกัน
อีกทีเวลา 21.00 น. พระรามัญจากวัดปรก จำนวน 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์ พระพิธีธรรมรามัญจำนวน 4 รูป สวดภาณวาร พระรามัญนั่งปรกจำนวน 4 รูป
1. พระสมุห์ชำนาญ อุตตมปัญโญ วัดบางกุฎีทอง ต. บางกระดี่ อ. เมือง จ. ปทุมธานีผมเคยได้ยินชื่อเสียงท่านจากเพื่อนฝูงหลายคนว่าท่านเก่งและรอบรู้ในเวทย์มนต์คาถาไม่น้อย ถือได้ว่าเป็นพระอาจารย์รุ่นใหม่ที่ขึ้นมาทดแทนองค์เก่าซึ่งมรณภาพจากไปองค์แล้วองค์เล่า หมู่พวกที่ใส่พระของท่านมีประสบการณ์มาเล่าให้ฟังไม่ขาดปากเหมือนกัน แม้จะไม่หวือหวาแต่ก็เรียกน้ำย่อยแห่งศรัทธาได้ไม่เบา
2. พระครูปลัดวีรวัฒน์ ชยธัมโม วัดปรกยานนาวา เขตสาธร กรุงเทพมหานคร
3. พระครูปราโมทสารคุณ วัดบางตะไนย์
4. พระครูเมตตาธรรมคุณ วัดโพธิ์เลื่อนและในเวลา 01.10 ประธานสงฆ์ก็ทำพิธีดับเทียนชัยเป็นอันเสร็จพิธีมหามังคลา-เทวาภิเษกโดยสมบูรณ์อย่างไม่มีใดต้องติ สมบูรณ์ทั้งฝ่ายพราหมณ์ที่อัญเชิญให้เทพเจ้าลงอำนวยพรประทานความศักดิ์สิทธิ์ สมบูรณ์ทั้งฝ่ายพุทธที่บรรจุพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และความเป็นเมตตา มหาเสน่ห์ มหานิยม อุดมลาภ มหาลาภ มหาอุด อยู่ยงคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดอุปัทวันตราย และมหากำบังอย่างที่พระเครื่องจะพึงมี

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

จดหมายจากในหลวงถึงสมเด็จพระเทพฯ


จดหมายจากในหลวงถึงสมเด็จพระเทพ"

จดหมายถึงสมเด็จ พระเทพ รัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี6 ตุลาคม 2547

พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

พระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีไปถึงสมเด็จ พระเทพ รัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำเผยแพร่

ลูกพ่อ ในพื้นแผ่นดินนี้ ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด มีความมืดและความสว่าง ความดีและความชั่ว ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้ว ทุกคนปรารถนาความสว่างปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน แต่ความปรารถนานั้นจักสำเร็จลงได้ จักต้องมีวิธีที่จักดำเนินให้ไปถึงความสว่าง หรือ ความดีนั้น ทางที่จักต้องไปให้ถึงความดีก็คือรักผู้อื่น เพราะความรักผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา ถ้าให้โลกมีแต่ความสุขและเกิดสันติภาพ ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้

พ่อขอบอกลูกดังนี้...

1. ขอให้ลูกมองผู้อื่นว่า เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าอดีต...ปัจจุบัน...อนาคต

2. มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกจากความเป็นจริง อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง และเหมาะสม

3. มีความสันโดษ คือ - มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือได้อย่างไร ก็เอาอย่างนั้น ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่ามีก็ดี ไม่มีก็ได้ พอใจตามกำลัง คือมีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย - ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลมจะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง - พอใจตามสมควร คือทำงานให้มีความพอใจเหมาะสมแก่งาน - ให้ดำรงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน

4. มีความมั่นคงแห่งจิต คือให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน และมองเห็นคุณประโยชน์ของความเพียร และเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาให้ภาวนาว่า...มีลาภ มียศสุขทุกข์ปรากฏ สรรเสริญนินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เป็นกฎธรรมดา อย่ามัวโศกานึกว่า ' ชั่งมัน '

พ่อ 6/10/2547

---------------------------------------------------------------------------------------

สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ ทรงมีพระราชปรารภทิ้งท้าย *** ฉันหวังว่า คำสอนพ่อที่ฉันได้ประมวลมานี้ จะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน ที่ได้พบเห็น และลูกอันเป็นที่รักของพ่อทุกคน
ฉันรัก พ่อฉันจัง สิรินธร
************************************************************************************

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

การสร้างความสมานฉันท์ ตามรอยพระพุทธเจ้า (ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี)


การสร้างความสมานฉันท์ ตามรอยพระพุทธเจ้า (ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี)

เมื่อพุทธกาล ๒๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ณ โฆษิตาราม ใกล้กับเมืองโกสัมพี มีภิกษุสองกลุ่มใหญ่คือ กลุ่มที่แสดงธรรมเก่ง (ธรรมกถึก) กับกลุ่มที่เคร่งครัดในพระวินัย (วินัยธร)
แต่ละกลุ่มก็มีอุปัชฌาของตนเอง แบ่งได้กลุ่มละประมาณ ๕๐๐ รูป
อยู่มาวันหนึ่งพระอุปัชฌาฝ่ายธรรมกถึก ไปทำภาระกิจในถาน (สุขาของพระ) เมื่อตักน้ำล้างที่ถานแล้ว ก็เหลือน้ำไว้ในภาชนะ
การเหลือน้ำไว้ในภาชนะหลังจากที่ตักไปล้างถานแล้ว ทางพระวินัยถือว่าผิด (เป็นอาบัติ) เพราะจะทำให้เป็นที่ฟักไข่ของยุงหรือสัตว์อื่นๆได้ เป็นต้น เมื่อพระรูปอื่นไปใช้ถานภายหลัง ก็จะเป็นการทำลายชีวิตสัตว์
ให้หลังจากที่พระอาจารย์ฝ่ายะรรมกถึกออกจากถานไป พระอาจารย์ฝ่ายวินัยธรได้เข้าไปใช้ถานนั้นบ้าง เมื่อเห็นน้ำแล้ว ก็ออกมาถามพระอุปัชฌาฝ่ายธรรมกถึก
ว่าเมื่อครู่ท่านเหลือน้ำไว้ในภาชนะหรือ พระธรรมกถึกก็ยอมรับว่าไช่ พระวินัยธรถามต่อว่า แล้วที่ทำเช่นนั้นท่านไม่รู้หรือว่าเป็นอาบัติ พระธรรกถึกก็ตอบตามตรงว่าไม่ทราบ พร้อมทั้งบอกกับพระวินัยธรว่า ถ้าอย่างนั้นผมขอปลงอาบัตินะครับ ฝ่ายพระวินัยธรก็ยั้บยั้งว่า ไม่เป็นไรหรอกในเมื่อท่านไม่ทราบว่าเป็นอาบัติ ท่านไม่ได้แกล้งทำ ไม่ต้องปลงอาบัติหรอก ( การปลงอาบัติ เป็นการขอขมา และสัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีก ในความผิดที่ไม่รุนแรง)
แต่เมื่อเวลาผ่านไปพระอาจารย์ฝ่ายวินัยธร ได้ไปบอกกล่าวลูกศิษย์ของทั้งหมดว่า พระอาจารย์ธรรมกถึกเหลือน้ำไว้ในภาชนะหลังจากที่เข้าไปในถาน ต้องอาบัติขนาดนั้นยังไม่รู้ตัวอีก
ฝ่ายลูกศิษย์ของพระวินัยธร ก็นำเรื่องการไม่รู้อาบัตินั้นไปพูดในทางเสียหายแก่ลูกศิษย์ของพระธรรมกถึก ทำนองว่าพระอาจารย์ของท่านไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอาบัติหรือไม่เป็น
ฝ่ายลูกศิษย์ได้ฟังก็ไม่พอใจ นำความไปฟ้องกับพระอาจารย์ฝ่ายธรรมกถึก เมื่อได้ท่านฟังก็คงจะอารมณ์เสีย เลยพูดว่า พระอาจารย์ฝ่ายวินัยธร รูปนี้พูดมุสาเสียแล้ว ก็เคยพูดกับเราแล้วว่าไม่เป็นอาบัติ ครั้นเราจะของปลงอาบัติก็ห้ามว่าไม่ต้อง แล้วทำไมตอนนี้มาพูดเช่นนี้ ทำให้เราเสียหายมากนะ
ตั้งแต่นั้นมา ก็เกิดการบาดหมาง ทะเลาะกันแบ่งกันเป็นสองกลุ่มไม่พูดจากปราศรัยกัน ไม่ช่วยเหลือกัน ทั้งที่ก็อยู่ในอารามเดียวกัน
เวลาผ่านไปพระอาจารย์ฝ่ายวินัยธร ซึ่งท่านรู้วินัยดีกว่าพระธรรมกถึก ซึ่งเก่งแต่เฉพาะการสอนธรรม ได้ทำอุกเขปนียกรรม หรือการไล่ออกจากหมู่ ห้ามใครในอารามนั้นไปคบค้าสมาคมกับพระอาจารย์ฝ่ายธรรมกถึกรูปนั้น มิฉะนั้น จะถือว่าเข้าข้างคนผิด ก็จะได้รับโทษอาบัติ และผิดไปด้วย
แต่ฝ่ายลูกศิษย์ของพระธรรมกถึก และอุปบาสกอุบาสิกา ฆราวาสญาติโยมฝ่ายที่เชื่อศรัทธาธรรมกถึกอยู่ก่อนแล้ว หาได้เชื่อตามพระอาจารย์ฝ่ายธรรมธรไม่ ยังคงให้การคบค้าสมาคม ดูแลช่วยเหลืออยู่เหมือนเดิม
อยู่มา วันหนึ่งพระภิกษุผู้น้อย ได้นำเรื่องดังกล่าว ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและกราบทูลเรื่องการทะเลานั้นให้ทรงทราบ
พระพุทธเจ้าก็ทรงส่งโอวาทไปทำนองว่า ให้ไปบอกกับพระสองกลุ่มนั้นให้เลิกทะเลาะกันเสีย หันหน้าเข้าหากันสามัคคีกัน ผู้เก่งธรรมก็สอนธรรม ผุ้เก่งวินัยก็ดูแลให้ความรู้เรื่องวินัย
ภิกษุผู้น้อยนั้นนำความไปบอกทั้งสองกลุ่ม ก็ไม่มีผู้ใดเชื้อฟัง ซ้ำร้ายทะเลาะกันมากขึ้น ก็นำความมากราบทูลพระพุทธเจ้าอีกเป็นครั้งที่สอง พระพุทธเจ้าก็ทรงส่งโอวาทให้ทำเช่นเดิม ก็ไม่ได้ผลอีก ทะเลาะกันเพิ่มอีก จนในอารามหาความสุขไม่ได้
ผ่านไปสองครั้งก็ไม่ได้ผล จนครั้งที่สามภิกษุผู้น้อยนั้นได้รีบนำความไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่าขณะนี้หนักกว่าเก่าอีก เกิดการแตกแยกระหว่างพระสองกลุ่มนั้นอย่างรุนแรง แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา หรือญาติโยมที่เคยเคยถวายอาหารก็แบ่งกันเป็นสองฝ่ายแล้ว
พระพุทธเจ้าได้สดับดังนั้นทรงเห็นว่าไม่ดีแน่จึงได้เสด็จไปที่อยู่ของพระทั้งสองกลุ่ม แล้วเรียกมาสอน และให้ทำสังฆกรรมร่วมกัน ทำวัตรเช้าเย็นด้วยกัน เวลาฉันข้าวให้นั่งเป็นแถว โดยสลับการระหว่างพระธรรมกถึกรูปหนึ่งคั้นด้วยพระวินัยธรรูปหนึ่ง แบบนี้ไปเรื่องยๆ
พระองค์ได้สอนว่าการแตกร้าว ไม่สามัคคีกัน ทะเลาะกันแก่งแย่งและวิวาทกัน ทำความฉิบหายให้ โดยยกตัวอย่างผลร้ายของการทะเลาะกันเช่น นกกระจาบหลายพันตัวทะเลาะกัน วิวาทกันยังสิ้นชีวิตทุกตัว อย่าไปเรียนแบบสัตว์เดรัจฉาน
ขณะที่พระพุทธเจ้าสอนนั้น ทั้งสองกลุ่มก็ไม่เชื่อไม่ฟังคำสอน ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งที่กล้าพูด ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า เรื่องนี้จะขอจัดการกันเอง ขอให้พระองค์อย่าได้กังวลเลยโปรดเสด็จกลับไปปฏิบัติธรรมตามเดิมเถิด
เมื่อพระพุทธเจ้าเห็นทีว่าจะสอนไม่ได้แล้ว ไม่ยอมเชื่อฟังทรงดำริว่าถ้าการอยู่ร่วมหมู่กับผู้ไม่ยอมให้อภัยกัน ทะเลาะกันอย่างนี้ ไปอยู่รูปเดียวดีกว่า จึงได้ออกจากอารามนั้นไป โดยไม่บอกกว่ากับภิกษุรูปใด หรือญาติโยมคนใดว่าจะไปที่ใด
พระองค์ได้เสด็จไปอีกอารามหนึ่ง ชื่อว่าพาลกโลณการาม และได้บอกกับพระเถระที่อารามนั้นว่าจะไปอีกบ้านหนึ่งเรียกชื่อว่าบ้านปาริเลยยกะ เพื่อปฏิบัติธรรมแต่เพียงพระองค์เท่านั้น ก่อนไปได้แสดงธรรมให้พระเถระรูปนั้นถึงอานิสงค์ของความสามัคคีว่า จะทำให้เกิดความเจริญ เป็นต้น
ฝ่ายญาติโยมที่เคยทำบุญใส่บาตรให้กับพระทั้งโยมฝ่ายธรรมกถึก และฝ่ายวินัยธร ได้ถามภิกษุเหล่านั้นว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ใด ก็ไม่มีใครทราบ
เมื่อนิ่งกันอยู่นาน มีภิกษุรูปหนึ่งคงได้ข่าวมาก่อนใครบอกกับญาติโยมว่า พวกเราสองกลุ่มทะเลาะกันพระองค์ทรงห้ามแล้วไม่มีใครเชื่อฟัง พระองค์จึงเสด็จไปจำพรรษาในป่าที่บ้านปาเลยยกะ
เมื่อได้ฟังความนั้น ญาติโยมได้รวมตัวกันทั้งหมด ไม่แบ่งฝ่ายแบ่งกลุ่มเหมือนพระภิกษุเหล่านั้น แล้วประกาศว่า ภิกษุทุกรูปโปรดทราบด้วยว่า พวกท่านทำผิด ขนาดมาบวชในสำนักของพระพุทธเจ้า พระองค์ให้สามัคคีกัน รักกันก็ทำไม่ได้ ต่อไปพวกเราจะไม่ใส่บาตรให้พวกท่าน
เมื่อญาติโยมสามัคคีกันทั้งหมู่บ้านใกล้ไกลของอารามนั้น ไม่ใส่บาตร ไม่ดูแลให้ความช่วยเหลือพระทั้งสองกลุ่มที่ทะเลาะกันทำให้พระภิกษุ ๑๐๐ กว่ารูปอดอาหารซูบผมไปตามกัน
เพื่อความอยู่รอดพระสองกลุ่มเกิดสำนึกด้วย หันมาพูดคุยกันและยอมให้อภัยกัน ไม่ทะเลาะกันเหมือนก่อน และสัญญาว่าจะรักและสามัคคีกันตลอดไป
จึงได้ส่งภิกษุรูปหนึ่งไปบอกญาติโยมว่า ต่อไปให้ใส่บาตร และดูแลพระภิกษุทั้งหมดเหมือนเดินนะ พวกอาตมาสามัคคีกันแล้ว และจะไม่สร้างความแตกแยกอีกแล้ว
ญาติโยมฟังดังนั้นก็ถามว่า แล้วท่านได้ไปขอขมาพระพุทธเจ้าหรือยัง ภิกษุตอบว่ายัง ญาติโยมตั้งขอแม้ว่า ท่านต้องไปขอขมาต่อพระพุทธเจ้าก่อน พวกญาติโยมจึงจะกลับไปใส่บาตร และดูแลพวกท่านเหมือนเดิน
แต่พระภิกษุไม่สามารถไปขอขมาพระพุทธเจ้าได้ในทันทีเพราะยังอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ต้องรอให้ออกพรรษาเสียก่อน กว่าจะออกพรรษาได้พระภิกษุทั้งสองกลุ่มก็อยู่กันมาอย่างยากลำบาก เป็นเพราะความไม่สามัคคีกันนั่นเอง
พระพุทธเจ้าเมื่อจำพรรษาอยู่ที่ป่าปาเลยยกะนั้น ได้มีช้างชื่อปาเลยยกะ ที่หนีออกจากโขลงมาเพื่อยู่ผู้เดียวสงบ มาพบพระองค์เข้าก็ศรัทธา เมื่อเห็นว่าพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรมาเลยคงจำพรรษาลำบาก จึงได้เข้าป่ากระ นำกิ่งไม้มากวาดให้ให้พระองค์ประทับ พระพุทธเจ้าประสงค์จะสรงน้ำร้อน ช้างนั้นก็จัดหามาให้ โดยใช้งวงจับกิ่งไม้แห่งสีกันจนเกิดไฟลุก ใส่ฟืนเข้าไป แล้วนำหินศิลามาเผาไฟ เมื่อหินร้อนได้ที่ก็ใช้งวงจับไม้และกวาดหินนั้นให้กลิ้งไปลงบ่อน้ำเล็กๆ ที่ตนทำไว้ แล้วใช้งวงหย่อนลงไปสัมผัส เห็นว่าน้ำอุ่นๆ ได้ที่ก็ไปกราบบังคมทูลพระพุทธเจ้าเพื่อมาสรงน้ำ
กลางคืนก็จะลาดตระเวณรอบที่ประทับ โดยใช้งวงจับท่อนไม้ กวาดไปตามที่ต่างๆ เป็นรัศมีวงกลมรอบที่ประทับพระพุทธเจ้าห่างออกไป แล้วเข้ามา เพื่อป้องกันอันตรายจะมาหาพระองค์ ทำแบบนี้ทุกคืนจนเช้า
เมื่อพระพุทธเจ้าจะไปบิณฑิบาตร ช้างปาเลยยกะก็ใช้งวงถือบาตรและจีวรเดินตามพระพุทธเจ้าไป แต่พอถึงชายป่าพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เอาหละปาเลยยกะ ส่งเราแค่นี้นะเพราะออกจากป่าไปไม่ใช่เขตของเจ้า เป็นที่อยู่อาศัยของญาติโยม เขาอาจจะจับเจ้าจะเป็นอันตราย ช้างก็เชื่อ ยืนรอตรงนั้นจนพระองค์บิณฑบาตรเสร็จเสด็จกลับมา ก็ถือบาตรและจีวรนำไปที่ประทับ
ช้างได้ดูและพระพุทธเจ้าด้วยความศรัทธา สม่ำเสมอแบบที่กล่าวมาทุกวัน
การปฏิบัติของช้างนั้น ได้ถูกจับตาดูอยู่ของเจ้าวานรตัวหนึ่ง ที่สงสัยว่าช้างทำอะไร เข้าไปดูก็เห็นว่ากำลังดูแลพระพุทธเจ้าอยู่ ก็เกิดศรัทธาอย่างทำบ้าง
ได้เข้าป่าไปนำรังผึ้ง ที่เป็นรังเปล่าไม่มีตัวผึ้งอยู่ นำรองด้วยใบตองมาถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงรับมา เจ้าวานรก็แลดูว่าพระองค์จะบริโภคหรือไม่ เพราะเห็นพระพุทธเจ้ารับแล้วก็นิ่งดูเฉยๆ ลิงสงสัย จึงจับมารังผึ้งมาพลิกดู เห็นตัวอ่อนของผึ้งข้างในจึงนำไปเคาะออกจนหมด นำมาถวายใหม่พระองค์รับแล้วก็บริโภค ลิงไปแอบดูอยู่บนกิ่งไม้ เมื่อเห็นพระพุทธเจ้าบริโภคก็ดีใจกระโจนห้อยโหนไปมาจนตกกิ่งไม้ ลงมาตาย ไปเกิดในสวรรค์
เรื่องที่มีช้างมาดูแลอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ได้มีผู้พูดไปทั่วเมือง ทำให้มีผู้ประสงค์จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า จึงได้ไปอ้อนวอนพระอานนท์ซึ่งเป็นพุทธอุปัฏฐาก (ผู้ดูแลใกล้ชิดพระพุทธเจ้า) ให้พาไป พระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ในหลายๆที่ก็ประสงค์เช่นนั้น พระอานนท์ได้พาพระสงฆ์เหล่านั้นประมาณ ๕๐๐ รูปไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
เมื่อไปถึงพระอานนท์ได้ให้พระทั้ง ๕๐๐ รูปรออยู่ด้านนอก เพราะเกรงจะไม่สมควรถ้าพาเข้าเฝ้าในขณะนั้น พระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้ารูปเดียวก่อน ระหว่างเดินไป ช้างปาเลยยกะเห็นเข้าก็ใช้งวงจับไม้วิ่งตรงเข้ามา หวังจะทำร้ายพระอานนท์ พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นก็ ตรัสห้าม และบอกกับช้างว่าพระอานนท์นี้เป็นผู้อุปัฏฐากพระองค์
เมื่อช้างได้ยินก็หยุด แต่ในใจคิดว่า เราจะลองดูพระรูปนี้ก่อนซิว่าจะเป็นผู้มีกิริยาที่ได้ฝึกมาแล้วอย่างดี จะไม่วางบาตร จีวร และทำตัวเสมอพระพุทธเจ้า เมื่อพระอานนท์เดินเข้าไปต่อหน้าพระพักตร์ ได้ทำความเคารพและนั่งในที่สมควรไม่เสมอพระพุทธองค์ และวางบาตรจีวรไว้ที่เหมาะสมไม่วางบนศิลาที่พระพุทธเจ้าประทับ ช้างเห็นก็ศรัทธา
เมื่อพระอานนท์นั่งแล้วพระพุทธเจ้าถามว่ามาคนเดียวหรือ และเมื่อทรงทราบว่ามีพระภิกษุรออยู่ด้านนอกอีก ๕๐๐ รูป ก็ให้พระอานนท์ไปพาเข้ามาเฝ้า
เมื่อพระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นเข้าก็มาก็กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่ามาอยู่จำพรรษาพระองค์เดียวในป่าไม่ลำบากหรือ พระองค์ตรัสตอบทำนองว่า ไม่ลำบากเพราะมีช้างปาเลยยกะคอยดูแล เหมือนคนมีเพื่อนดีอยู่ด้วยกันก็มีความสุข การมีเพื่อนไม่ดีแม้มีมากเท่าใดก็เป็นทุกข์ การอยู่คนเดียวสบายเสียดีกว่า
จากนั้นพระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมเกี่ยวกับเรื่องการคบเพื่อนที่ดี อเสวนาคนดีก็จะทำให้ได้รับความดีมาใส่ตนเป็นต้นพระภิกษุเหล่านั้นก็ได้บรรลุพระอรหันต์
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสแสดงธรรมเสร็จพระอานนท์ กราบทูลว่าญาติโยมในเมืองก็ได้ให้มานิมนต์พระองค์ไปที่นั่น พระพุทธเจ้าจึงได้ให้พระทั้งหมดเตรียมเดินทางไป
ทันใดนั้นช้างได้มาขวางหน้า พระภิกษุเหล่านั้นได้ถามพระพุทธเจ้าว่าช้างจะทำอะไร พุทธองค์ตรัสว่า ช้างจะถวายอาหารให้พวกเธอทั้งหลาย ดังนั้นอย่าทำให้ช้างนี้ต้องเสียใจ เราอยู่กันที่นี่อีกคืน
จากนั้นช้างก็เข้าป่า หาผลไม้มากองไว้มากมาย เช้าขึ้นพระภิกษุสงฆ์ก็ฉันผลไม้นั้น และยังเหลืออีกมากมาย ฉันเสร็จพระพุทธเจ้าพาพระภิกษุสงฆ์เดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น
ช้างก็มาขวางอีก พระภิกษุก็ถามว่าคราวนี้ช้างจะทำอะไรอีก พระองค์ทรงตอบว่า ช้างจะให้เราอยู่และส่งพวกเธอ แต่คราวนี้พระองค์ได้บอกช้างว่า ต่อไปนี้จะไปจริงๆแล้วไม่กลับมาอีก ให้ช้างอยู่ในป่าตามแบบของช้างเถิด ช้างเสียใจมาก เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลับตาไปแล้ว ช้างได้นำงวงใส่ไว้ในปากไม่ยอมกินอะไรจนตาย แล้วไปเกิดในสวรรค์
เมื่อพระพุทธเจ้าและพระภิกษุเหล่านั้น ถึงเมืองสาวัตถีแล้ว พระที่เคยทะเลาะกันจนทำให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาอยู่ในป่า จะเข้าไปขอขมาพระพุทธเจ้า พระเจ้าโกศล (พระเจ้าแผ่นดิน)ได้เข้าพระศาสดาว่าจะไม่ให้พระเหล่านั้นเข้ามาในมืองนี้
พระพุทธเจ้าได้ห้ามและอนุญาตให้พระภิกษุเหล่านั้นเข้ามาได้ เพราะเป็นผู้มีศีล เมื่อเขาสำนึกได้แล้ว จะมาขอขมาก็ไม่ควรห้าม
ชาวเมืองโกสัมพีเองก็จะไม่ถวายสิ่งของและอาหารให้กับพระเหล่านั้นที่เคยทะเลาะกัน แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงห้ามไว้อีก
เมื่อพระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระที่เคยทะเลากันเข้าเฝ้าได้แล้วก็ได้ทรงแสดงธรรมให้กับพระภิกษุเหล่านั้นว่าผู้ที่เชื่อคำพ่อแม่ครูบาอาจารย์จะเป็นผู้เจริญไม่ตกอับ
ส่วนผู้ใดที่ไม่เชื่อไม่ทำตามคำของพ่อแม่ครูบาอาจารย์จะมีแต่เรื่องร้าย ถือเป็นกรรมหนัก จะทำให้เกิดการแตกยก หาความสงบสุขไม่มี
ขอขมาเสร็จ ชาวเมืองก็มาถวายอาหารอาหาร และดูและพระภิกษุในกลุ่มของธรรมกถึก และพระวินัยธร เหล่านั้นเหมือนเดิม และอยู่กันแบบสร้างสรรค์ตลอดมา

ความเดิมจาก : อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ยมกวรรค ๑ เรื่องภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ออนไลน์ ๒๕๕๒

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทางม้าทางโค

ทางม้าทางโค

ปริพาชก...แปลว่าผู้จาริกไป ที่พอรู้จักจากพุทธประวัติ น่าจะไม่ใช่นักบวช เจอหน้าผู้รู้สำนักไหน ก็มักตั้งปุจฉา และวิสัชนา เหมือนนักโต้วาที เอาแพ้เอาชนะกันไปเรื่อยๆ
ก่อนพุทธกาล สำนักสัญชัยปริพาชก เป็นสำนักใหญ่ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ศิษย์เอกสองคนเป็นเพื่อนรักกัน คนแรก ชื่ออุปติสสะ คนที่สองชื่อโกลิตะเพื่อนสองคนนี้ เป็นลูกผู้ดีมีเงิน สมัยนี้คงอยู่ในข่ายไฮโซ เรียนวิชาโต้วาทีจนเจนจบจากสำนักสัญชัย แล้วก็รู้ว่า ยังไม่ใช่วิชาที่ดีที่สุด ปรึกษากันว่า ถ้าเจออาจารย์สำนักไหนมีวิชาดีกว่า จะมาบอกกันอุปติสสะ เจอพระอัสสชิ ปัญจวัคคีย์องค์สุดท้าย...ฟังคำสอนย่อๆ แต่แหลมคมทะลุหัวใจ สิ่งใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น...ก็แน่ใจว่า...ใช่แล้วบอกโกลิตะเพื่อนยังไม่พอ ชวนกันไปหา พระอาจารย์สัญชัย บอกตรงๆว่า เจออาจารย์ที่สอนให้บรรลุถึงความหลุดพ้น จึงอยากชวนพระอาจารย์ไปแสวงหาความหลุดพ้นด้วยกัน"อุปติสสะ จะให้ฉันทิ้งสำนักไปได้ยังไง?" พระอาจารย์ตกใจ "ลูกศิษย์ลูกหาสำนักเรามีอยู่ก็มาก ถ้าเธอเลื่อมใสพระพุทธเจ้าจริง จะไปก็ไปเถิด แต่ฉันไม่ไปด้วย"อย่าลืมทีเดียวบทสนทนาต่อไปนี้ ระดับอาจารย์สำนักโต้วาทีหนึ่งเดียวในแผ่นดิน"ท่านอาจารย์ จะอยู่ไปทำไม ชาวบ้านไม่ว่าที่ไหนๆ เขาก็พากันเลื่อมใส แห่กันไปหาพระพุทธเจ้ากันทั้งนั้น" อุปติสสะปล่อยไม้ตาย "ถ้าใครต่อใคร เขาพากันไปเสียหมด จะมีใครอยู่ในสำนักอาจารย์ต่อไปอีก" "เธอแน่ใจอย่างนั้นหรือ?" พระอาจารย์สัญชัยย้อนถาม "ถ้าเธอแน่ใจ ตอบคำถามฉันก่อนในโลกนี้ คนฉลาดมาก หรือคนโง่มาก""คนโง่มากกว่า แน่นอนขอรับ" อุปติสสะตอบทันที"ถูกของเธอ อุปติสสะ" พระอาจารย์สัญชัยพูดไปยิ้มไปเหมือนได้ที "เป็นธรรมดา ที่คนฉลาดย่อมต้องไปหาคนฉลาด คนโง่ย่อมต้องไปหาคนโง่ เหมือนฝูงโค ก็ย่อมจะไปอยู่รวมกับโค ฝูงม้าก็ย่อมจะไปอยู่รวมกับม้าอุปติสสะ โกลิตะ เธอสองคนเป็นคนฉลาด มีสติปัญญา ควรแล้วที่จะพากันไปสำนักพระสมณโคดม ส่วนคนที่เหลือนอกนั้น เป็นคนโง่ จะเป็นไรไป เมื่อเขาจะมาสำนักเราเมื่อเป็นเช่นนั้น สำนักเราก็คงจะยังหนาแน่นด้วยผู้คน ไม่ว่างเปล่าให้เธอต้องเป็นห่วง"ก็เป็นอันว่า โวหารระดับพระอาจารย์ปริพาชกสัญชัยเอาชนะสองศิษย์เอก ยอมให้สองศิษย์เอกลาไปเป็นศิษย์พระพุทธเจ้าได้ โดยไม่ต้องพ่วงอาจารย์ไปด้วยสองศิษย์ปริพาชกที่ว่านี้
ต่อมา...ชาวพุทธเรารู้จักกันดี ในชื่อ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอัครสาวกขวาและซ้ายของพระพุทธเจ้าพุทธประวัติช่วงนี้
มีประเด็นให้คิดกันไม่น้อยนะครับ โคก็ย่อมจะไปรวมอยู่ในฝูงโค ม้าก็ย่อมไปรวมอยู่ในฝูงม้า คนโง่ก็ต้องอยู่ในหมู่คนโง่ คนฉลาดก็ต้องไปหาคนฉลาดทุกคนที่เกิดมา เลือกทางเดินของตัวเอง ห้ามกันไม่ได้ ทางใคร ก็ทางมันเรื่องใครโง่ใครฉลาด ใครดีใครชั่ว ในสถานการณ์หน้าสิ่ว หน้าขวาน คงไม่พูดกัน ห่วงกันอยู่เรื่องเดียว เรื่องจะจบแบบไหน โดยไม่ให้เลือดนองแผ่นดิน.

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

“ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เชิญเถิด ยสะ เชิญมาทางนี้ เราจักแสดงธรรมให้เธอฟัง”

ประวัติแห่งพระยสะ
นำเสนอโดย...พระมหาบุญโฮม ปริปุณฺณสีโล (ไชยฤทธิ์)

พระยสะนั้น เป็นบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสี เป็นผู้บริบูรณ์มีเรือน ๓ หลังเป็นที่อยู่ใน ๓ ฤดู ครั้งหนึ่ง เป็นฤดูฝน ยสกุลบุตรอยู่ในปราสาทเป็นที่อยู่ในฤดูฝน บำเรอด้วยดนตรีล้วนแต่สตรีประโคม ไม่มีบุรุษเจือปน.
ค่ำวันหนึ่ง ยสกุลบุตรนอนหลับก่อนหมู่ชนบริวารหลับต่อภายหลัง แสงไฟตามสว่างอยู่ ยสกุลบุตรตื่นขึ้น เห็นหมู่ชนบริวารนอนหลับ มีอาการพิกลต่าง ๆ บางนางมีพิณตกอยู่ที่รักแร้ บางนางมีตะโพนวางอยู่ข้างคอ บางนางมีเปิงมางตกอยู่ ณ อก บางนางสยายผม บางนางมีเขฬะไหล บางนางบ่นละเมอต่าง ๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีเหมือนก่อน ๆ หมู่ชนบริวารนั้นปรากฏแก่ยสกุลบุตร ดุจซากศพที่ทิ้งอยู่ในป่าช้า.
ครั้นยสกุลบุตรได้เห็นแล้ว เกิดความสลดใจคิดเบื่อหน่าย ออกอุทาน (วาจาที่เปล่งด้วยอำนาจความสลดใจ) ว่า
"ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ "
ยสกุลบุตรรำคาญใจ จึงสวมรองเท้าเดินออกจากประตูเรือนไปแล้ว ออกประตูเมืองตรงไปในทางที่จะไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เวลานั้นจวนใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ทรงได้ยินเสียงยสกุลบุตรออกอุทานนั้น เดินมายังที่ใกล้ จึงตรัสเรียกว่า
"ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ท่านมาที่นี่เถิด นั่งลงเถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน"
ยสกุลบุตรได้ยินอย่างนั้นแล้ว คิดว่า ได้ยินว่า ที่นี่ไม่วุ่นวายที่นี่ไม่ขัดข้อง จึงถอดรองเท้าเสีย เข้าไปใกล้ไหว้แล้ว นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. พระาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพีกถา คือถ้อยคำที่ กล่าวโดยลำดับ พรรณนาทานการให้ก่อนแล้ว พรรณนาศีลความรักษากายวาจาเรียบร้อยเป็นลำดับแห่งทาน พรรณนาสวรรค์ คือกามคุณที่บุคคลใคร่ซึ่งจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดี คือทานและศีลเป็นลำดับแห่งศีล พรรณนาโทษ คือความเป็นของไม่ยั่งยืน และประกอบด้วยความคับแค้นแห่งกามอันได้ชื่อว่าสวรรค์นั้น เป็นลำดับแห่งสวรรค์ พรรณนาอานิสงส์แห่งความออกไปจากกาม เป็นลำดับแห่งโทษของกาม ฟอกจิตยสกุลบุตร ให้ห่างไกลจากความยินดีในกามควรรับพระธรรมเทศนาให้เกิดธรรมจักษุ เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมได้ฉะนั้น แล้วจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระองค์ยกขึ้นแสดงเอง คืออริยสัจ ๔ อย่าง คือทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด เหตุให้ทุกข์ดับ และข้อปฏิบัติเป็นทางให้ถึงความดับทุกข์
ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมพิเศษ ณ ที่นั้นแล้ว ภายหลังพิจารณาภูมิธรรมที่ตนได้เห็นแล้ว จิตพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน. ฝ่ายมารดาของยสกุลบุตร เวลาเช้าขึ้นไปบนเรือน ไม่เห็นลูกจึงบอกแก่เศรษฐีผู้สามีให้ทราบ เศรษฐีให้คนไปตามหาใน ๔ ทิศส่วนตนออกเที่ยวหาด้วย เผอิญเดินไปในทางที่ไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ได้เห็นรองเท้าของลูกตั้งอยู่ ณ ที่นั้นแล้ว ตามเข้าไปถึงที่พระศาสดาประทับอยู่กับยสกุลบุตร. พระศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ให้เศรษฐีเห็นธรรมแล้ว
เศรษฐีทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา แล้วแสดงตนเป็นอุบาสก ข้าพเจ้าถึงพระองค์กับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์เป็นที่ระลึก ขอพระองค์ทรงจำข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เศรษฐีนั้น ได้เป็นอุบาสกอ้างพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ครบทั้ง ๓ เป็นสรณะก่อนกว่าชนทั้งปวงในโลก.
ในตอนนี้ พระคันถรจนาจารย์กล่าวความว่า ในขณะที่เศรษฐีผู้บิดายสกุลบุตรเข้าไปอยู่ ทรงบันดาลด้วยอิทธาภิสังขาร คือฤทธิ์ที่แต่งขึ้น ไม่ให้บิดากับบุตรเห็นกัน ต่อทรงแสดงธรรมเทศนาจบ ยสกุลบุตรพิจารณาภูมิธรรมอันตนได้เห็นแล้ว บรรลุพระอรหัตและเศรษฐีผู้บิดาได้บรรลุพระโสดาปัตติผลแล้ว จึงทรงคลายอิทธาภิสังขารนั้นให้บิดากับบุตรเห็นกัน. เศรษฐีผู้บิดายังไม่ทราบว่ายสกุลบุตรมีอาสวะสิ้นแล้ว จึงบอกความว่า พ่อยสะ มารดาของเจ้า เศร้าโศกพิไรรำพันนัก เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด.
ยสกุลบุตรแลดูพระศาสดา ๆ ตรัสแก่เศรษฐีว่า คฤหบดี ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน แต่ก่อนยสะได้เห็นธรรม ด้วยปัญญาอันรู้เห็นเป็นของเสขบุคคล๑เหมือนกับท่าน ภายหลัง ยสะพิจารณาภูมิธรรมที่ตนได้เห็นแล้ว จิตก็พ้นจากอาสวะมิได้ถือมั่นด้วยอุปาทาน ควรหรือยสะจะกลับคืนไปบริโภคกามคุณเหมือนแต่ก่อน. ไม่อย่างนั้นพระเจ้าข้า เป็นลาภของพ่อยสะแล้วความเป็นมนุษย์ พ่อยสะได้ดีแล้ว ขอพระองค์กับพ่อยสะเป็นสมณะตามเสด็จ จงทรงรับบิณฑบาตของข้าพเจ้าในวันนี้เถิด. พระศาสดาทรงรับด้วยนิ่งอยู่. เศรษฐีทราบว่าทรงรับแล้ว ลุกจากที่นั่งแล้ว ถวายอภิวาทแล้ว ทำประทักษิณ๑แล้วหลีกไป.
เมื่อเศรษฐีไปแล้วไม่ช้า ยสกุลบุตรทูลขออุปสมบท. พระศาสดาทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วย พระวาจาว่า มาเถิดภิกษุ ธรรมเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด ในที่นี้ไม่ตรัสว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว. สมัยนั้น มีพระอรหันต์ขึ้นในโลกเป็น ๗ ทั้งพระยสะ.
ในเวลาเช้าวันนั้น พระศาสดากับพระยสะตามเสด็จ ๆ ไปถึงเรือนเศรษฐีนั้นแล้ว ทรงนั่ง ณ อาสนะที่แต่งไว้ถวาย. มารดาและภริยาเก่าของยสะเข้าไปเฝ้า พระองค์ทรงแสดงอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ให้สตรีทั้ง ๒ นั้นเห็นธรรมแล้ว สตรีทั้ง ๒ นั้นทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาแล้ว แสดงตนเป็นอุบาสิกา ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะโดยนัยหนหลัง ต่างแต่เป็นผู้ชายเรียกอุบาสก เป็นผู้หญิงเรียกว่า อุบาสิกา เท่านั้น สตรีทั้ง ๒ นั้นได้เป็นอุบาสิกาขึ้นในโลกกว่าหญิงอื่น. ครั้นถึงเวลา มารดาบิดา และภริยาเก่าแห่งพระยสะ ก็อังคาสพระศาสดาและพระยสะด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีตโดยเคารพด้วยมือของตน ครั้นฉันเสร็จแล้ว พระศาสดาตรัสพระธรรมเทศนาสั่งสอนชนทั้ง ๓ ให้เห็น ให้สมาทาน ให้อาจหาญให้รื่นเริงแล้ว เสด็จกลับไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน.
ฝ่ายสหายของพระยสะ ๔ คน ชื่อวิมละ ๑ สุพาหุ ๑ ปุณณชิ ๑ควัมปติ ๑ เป็นบุตรแห่งเศรษฐีสืบ ๆ มาในเมืองพาราณสี ได้ทราบ ข่าวว่ายสกุลบุตรออกบวชแล้ว จึงคิดว่า ธรรมวินัยที่ยสกุลบุตรออกบวชนั้นจักไม่เลวทรามแน่แล้ว คงเป็นธรรมวินัยอันประเสริฐ ครั้นคิดอย่างนั้นแล้ว พร้อมกันทั้ง ๔ คน ไปหาพระยสะ ๆ ก็พาสหาย ๔ คนนั้นไปเฝ้าพระศาสดา ทูลขอให้ทรงสั่งสอน พระองค์ทรงสั่งสอนให้กุลบุตรทั้ง ๔ นั้นเห็นธรรมแล้ว ประทานอุปสมบทอนุญาตให้เป็นภิกษุแล้ว ทรงสั่งสอนให้บรรลุพระอรหัตตผล. ครั้งนั้น มีพระอรหันต์ขึ้นในโลก ๑๑ พระองค์.
ฝ่ายสหายของพระยสะอีก ๕๐ คน เป็นชาวชนบท ได้ทราบข่าวนั้นแล้ว คิดเหมือนหนหลัง พากันมาบวชตามแล้ว ได้สำเร็จพระอรหัตตผลด้วยกันสิ้นโดยนัยก่อน บรรจบเป็นพระอรหันต์ ๖๑ องค์. พระยสะและพระสหายเหล่านี้ พระศาสดาทรงส่งไปประกาศพระพุทธศาสนา ในคราวแรก พร้อมด้วยพระปัญจวัคคีย์ ตั้งแต่นั้นมาไม่ปรากฏอีก ไม่มีนามในจำพวกพระมหาสาวกอันพระศาสดาทรงยกย่องในที่เอตทัคคะ ชะรอยจะนิพพานสาบศูนย์เสียในคราวไปประกาศพระศาสนานั่นเอง.
หนังสืออ้างอิง.-
-ธรรมสภา,อสีติมหาสาวก๘๐พระอรหันต์,ฉบับจัดพิมพ์เป็นธรรมทานในมงคลวาระคล้ายวันเกิด คุณอำพัน-คุณสุมารัตน์ วิประกาษิต,กรุงเทพฯ, ๒๕๔๘, -บุญโฮม ปริปุณฺณสีโล(ไชยฤทธิ์),พระมหา,คู่มือเรียนนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นโท, ฉบับพิมพ์โรเนียวเย็บเล่ม, สำนักศาสนศึกษาวัดท่าไทร จ.สุราษฎร์ธานี, ๒๕๓๕ -บุญโฮม ปริปุณฺณสีโล(ไชยฤทธิ์),พระมหา,ปัญหาและเฉลยสำหรับนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นโท, ฉบับพิมพ์โรเนียวเย็บเล่ม, สำนักศาสนศึกษาวัดท่าไทร จ.สุราษฎร์ธานี, ๒๕๓๕ -ศูนย์พระสงฆ์นักเผยแผ่ธรรมะเพื่อพัฒนาสังคม,คู่มือธรรมศึกษาชั้นโท, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๓ พ.ศ.๒๕๔๗,โรงพิมพ์เอกพิมพ์ไท จำกัด,กรุงเทพฯ,๒๕๔๗

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คำอธิษฐานในการทำบุญในโอกาสต่างๆ


ตั้งนโม 3 จบ
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ
ข้าพเจ้า ขอตั้งจิต อธิษฐาน
ขอพบพาน พระพุทธ ศาสนา
ด้วยผลบุญ ตายไป ให้เกิดมา
พบศีลทาน ภาวนา ทุกชาติไป
เป็นมนุษย์ ได้คบหา กัลยาณมิตร
มีปัญญา รู้ถูกผิด จิตเลื่อมใส
ดำรงมั่น ศรัทธา พระรัตนตรัย
น้อมกายใจ เข้าถึง ซึ่งนิพพาน
เดินตามองค์ พระศาสดา อริยสัจจ์
ปฏิบัติ ตามมรรคา อรหันต์
อนาคา สกิทา โสดาบัน
พรหมจรรย์ จงสมหวัง ดั่งใจเทอญ
********************************************************************
ก.อุตตมปัญโญ
๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

***...พระคาถาแก้วสารพัดนึก หลวงปู่โต๊ะ...***

พระคาถาแก้วสารพัดนึก พระราชสังวราภิมณฑ์(หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวรรณโณ)
ฉบับพระวิโรจน์ญาณวงศ์ วัดประดู่ฉิมพลี
จัดดอกไม้ จุดธูปเทียนบูชาแล้วอธิษฐานจิตให้ผ่องใสเกิดสมาธิ
ตั้งนะโมสามจบ
ตามด้วยบทไตรสรณาคมน์
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
(คำสวด) นะโม เม สัพพะพุทธานัง
อุปปันนานัง มะเหสินัง
ตัณหังกะโร มะหาวีโร
เมธังกะโร มะหายะโส
สะระณังกะโร โลกะหิโต
ทีปังกะโร ชุตินธะโร
โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข
มังคะโล ปุริสาสะโภ
สุมะโน สุมะโน ธีโร
เรวะโต ระติวัฑฒะโน
โสภิโต คุณะสัมปันโน
อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม
ปะทุโม โลกะปัชโชโต
นาระโท วะระ สาระถี
ปะทุมุตตะโร สัตตะสาโร
สุเมโธ อัปปะฎิปุคคะโล
สุชาโต สัพพะ โลกัคโค
ปิยะทัสสี นะราสะโภ
อัตถะทัสสี การุณิโก
ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท
สิทธัตโถ อะสะโม โลเก
ติสโส จะ วาทะตัง วะโร
ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ
วิปัสสี จะ อะนูปะโม
สิขี สัพพะหิโต สัตถา
เวสสะภู สุขะทายะโก
กะกุสันโธ สัตถะวาโห
โกนาคะมะโน ระณัญชะโห
กัสสะโป สิริสัมปันโน
โคตะโม สักยะปุงคะโว
*พุทโธ สัพพัญญุตะญาโณ
มหาชนานุ กัมปะโก
ธัมโม โลกุตตะโร วะโร
สังโฆ มังคะผะลัฎโฐ จะ
อินทะสุวัณณะ ปารมี เถโร
อิจเจตัง ระตะนัตตะยัง
เอตัสสะ อานุภาเวนะ
สัพพะทุกขา อุปัททะวา
อันตะรายา จะ นัสสันตุ
ปุญญะลาภะ มะหาเตโช
สิทธิกิจจัง สิทธิลาโภ
สัพพะ โสตภี ภะวันตุเม ติ
* สวด ๓,๗ หรือ ๙ จบ
################################
ฉบับของวัดถ้ำสิงโตทอง (วัดหลวงปู่โต๊ะ) อ.จอมบึง จ.ราชบุรีจักดอกไม้ จุดธูป เทียน บูชา แล้วอธิษฐานจิตให้ผ่องใส เกิดสมาธิตั้งนะโม ๓ จบ ตามด้วย พุทธัง ธัมมัง สังฆัง คัจฉามิ

นะโม เม สัพพะพุทธานัง
อุปปันนานัง มะเหสินัง
ตัณหังกะโร มะหาวีโร
เมธังกะโร มะหายะโส
สะระณังกะโร โลกะหิโต
ทีปังกะโร ชุตินธะโร
โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข
มังคะโล ปุริสาสะโภ
สุมะโน สุมะโน ธีโร
เรวะโต ระติวัฑฒะโน
โสภิโต คุณะสัมปันโน
อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม
ปะทุโม โลกะปัชโชโต
นาระโท วะระ สาระถี
ประทุมุตตะโร สัตตะสาโร
สุเมโธ อัปปะฏิปุคคะโล
สุชาาโต สัพพะโลกัคโค
ปิยะทัสสี นะราสะโภ
อัตถะทัสสี การุณิโก
ธัมมะทัสสี ตะโมนุโธ
สิทธัตโถ อะสะโม โลเก
ติสโส จะ วะทะตัง วะโร
ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ
วิปัสสี จะ อะนูปะโม
ลิขี สัพพะหิโต สัตถา
เวสสะภู สุขะทายะโก
กะกุสันโธ สัตถะวาโห
โกนาคะมะโน ระณัญชะโห
กัสสะโป สิริสัมปันโน
โคตะโม สักยะปุงคะโว
ธัมโม โลกุตตะโร วะโร
สังโฆ มัคคะผะลัฏโฐ จะ
อินทะสุวัณณะ เถโร จะ
อิจเจตัง ระตะนัตตะยัง
เอตัสสะ อานุภาเวนะ
สัพพะทุกขา อุปัททะวา
อันตะรายา จะ นัสสันตุ
ปุญญะลาภะ มะหาเตโช
สิทธิกิจจัง สิทธิลาโภ
สัพพะ โสตถี ภะวันตุ เม ติ
สวด ๓ , ๗, หรื่อ ๙ จบพุทธศาสนสุภาษิต
อยากเป็นเศรษฐีมีสมบัติ
จงทำบุญให้ทาน
อยากเป็นคนสวยดุจนางงามจักรวาล
จงรักษาศีล
อยากเป็นผู้มียศยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน
จงเจริญสมาธิ
**********************************************

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สวรรค์ชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตสวัตตี



สวรรค์ชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตสวัตตี... สวรรค์ชั้นที่ ๖ อันเป็นชั้นสูงสุดในบรรดาสวรรค์ ชื่อ ปรนิมมิตสวัตตีมีวิมานทองทอง วิมานแก้ว วิมานเงิน เป็นปราสาทที่สง่าภูมิฐาน ตระหง่านอยู่ทั่วไปบนภาคพื้นที่ลาดด้วยแก้ว ๗ ประการ ประกอบด้วยสวนทิพย์อุทยานอันวิจิตร และสระโบกขรณีที่พักผ่อนหย่อนใจ อันยิ่งใหญ่โอฬาริกยิ่งกว่าชั้นใดทั้งหมด เทพเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ชั้นที่ ๖ นี้ มีคุณสมบัติพิเศษยิ่งกว่าเทพเจ้าบนสวรรค์ชั้นอื่น ๆ คือเสวยกามคุณอารมณ์โดยเทวดาอื่นรู้ความต้องการแล้วเนรมิตให้ กล่าวคือ เมื่อเกิดความต้องการ ไม่จำเป็นต้องบันดาลให้เป็นไปด้วยตนเอง จะมีเทวดาองค์อื่นรู้และเนรมิตให้โดยทันทีและเป็นสุขสมบัติที่ประเสริฐประณีต น่าประทับใจกว่าเทวดาชั้นอื่นใด จึงมีนามว่าสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตสวัตตี นอกจากสมบัติทิพย์และคุณสมบัติพิเศษต่าง ๆ ที่เทพเจ้าเหล่าชาวฟ้าอยู่ในชั้นที่ ๖ นี้ได้รับแล้ว ผู้ที่อยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ยังแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่ายด้วยกันคือ ฝ่ายเทวดา มีเทวาธิราชผู้ยิ่งใหญ่ นามว่า "ท้าวปรนิมมิตเทวราช" เป็นผู้ปกครองเหล่าเทพเจ้าทั้งหลาย ให้ได้รับความรื่นเริงสำราญโดยทั่วหน้า ฝ่ายมาร บนสวรรค์ชั้นนี้ มีหมู่มารผู้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ บังเกิดเสวยทิพยสมบัติอยู่ด้วยอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมี ท้าวปรนิมมิตสวัตตีมาราธิราช เป็นผู้ปกครองหมู่มารทั้งหลายให้ได้รับความสุขสำราญ ตามควรแต่บุญกรรมของตน อย่างไรก็ดี แม้ว่าบนสวรรค์ชั้นนี้จะมีถึง ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายเทวดา กับฝ่ายมาร ก็เป็นการแบ่งแยก โดยมีเขตแดนกั้นกันโดยเด็ดขาด แต่ละฝ่ายไม่สามารถจะไปมาหาสู่หรือไปรบกวนกันได้ไม่ ต่างฝ่ายต่างเสวยสุขสมบัติ ณ ทิพยวิมานของตนด้วยความสุข อันปราณีตยิ่งล้นกว่าสวรรค์ชั้นฟ้าอื่น ๆ
ท้าวปรนิมมิตสวัตตีมาราธิราช เป็นปัญหาที่น่าขบคิดว่า เหตุใดบนสวรรคค์ชั้นสูงสุดจึงมีมารมาบังเกิดร่วมชั้นกับเทวดาอย่างนี้ เพื่อให้ช่วยเป็นที่กระจ่างชัดสำหรับปัญหานี้ ขอนำเรื่องราวของท้าวปรนิมมิตตสวัตตีมาราธิราช มาเล่าสู่กันฟังดังต่อไปนี้ ท้าวปรนิมมิตสวัตตีมาราธิราช ผู้เป็นใหญ่ปกครองหมู่มารบนสวรรค์ชั้นที่ ๖ นี้ แท้ที่จริงเป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้บำเพ็ญบารมีมา เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตองค์หนึ่ง โดยสมัยพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสปะ พญามารผู้นี้เกิดเป็นมนุษย์ นามว่า โพธิ์อำมาตย์ ดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดี ของ พระเจ้ากิงกิสสะมหาราช เป็นที่ไว้วางพระทัยมาก และพระเจ้ากิงกิสสะมหาราชเอง เป็นผู้มีพระทัยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา วันหนึ่ง ทรงทราบว่าพระพุทธองค์ทรงเข้านิโรธสมาบัติ เสวยวิมุตติสุขอยู่ครบ ๗ วัน ณ ภายใต้ต้นไทรใหญ่ และใกล้จะออกจากนิโรธสมาบัติอยู่แล้ว ทรงดำริว่า "ขณะที่พระพุทธเจ้า เสด็จออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ ถ้าผู้ใดได้ถวายทาน จักบังเกิดผลานิสงส์ ผลบุญล้ำเลิศมาก บัดนี้เราจักถวายทานแด่พระองค์ โดยไม่ให้ใครอื่นเกี่ยวข้องด้วย" ครั้นแล้ว จึงประกาศแก่ชาวเมืองว่า "ถ้าคนใด ไปถวายทานแด่พระพุทธเจ้าก่อนเรา เราจักลงอาญาแก่ผู้นั้น" เมื่ออกประกาศดังนั้น ก็ให้กองรักษาการณ์ที่ใกล้ต้นไทรใหญ่ บริเวณที่พระพุทธองค์ทรงเข้านิโรธสมาบัติอยู่ หากผู้ใดล่วงละเมิดพระดำรัส ให้จับตัวประหารชีวิตเสียทันที โพธิ์อำมาตย์เสนาบดี แม้จะทราบประกาศของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราชดังนั้น ก็ยังมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะถวายทานแก่พระพุทธองค์ โดยไม่กลัวว่าจะถูกประหาร พอรุ่งเช้าเขาพร้อมด้วยภรรยาก็ถือไทยทานของตนรวม ๒ ห่อ ตรงไปยังบริเวณไทรใหญ่พวกทหารรักษาการณ์เห็นดังนั้นก็วิ่งออกมาบอกว่า "ท่านเสนาบดี ขอได้โปรดอย่าเข้าไปเลย พระเจ้าเหนือหัวสั่งห้าม มิให้ใครเข้าไปถวายทานแด่พระพุทธเจ้าก่อนพระองค์เป็นอันขาด มิฉะนั้นต้องถูกประหารชีวิต" เสนาบดีได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่า ถ้าเราจะแกล้งบอกแก่พวกทหารเหล่านี้ว่า พระเจ้าเหนือหัวให้เรามาอาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าไปในวัง ก็จะได้อยู่ แต่เราไม่ควรจะมดเท็จเช่นนั้น เพราะเราตั้งใจจะถวายทานแด่พระพุทธองค์ เราควรบอกตามความจริงแม้จักตายก็ช่างมันเถิด ครั้นแล้ว เสนาบดีบอกทหารเหล่านั้นไปว่า "ไม่ต้องห้ามเราหรอก เราจักเข้าไปถวายทานแด่พระพุทธองค์" "ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็มีความจำเป็นต้องจับท่านไปประหารชีวิต" ทหารรักษาการณ์ร้องบอกอีกครั้งหนึ่ง "ท่านเป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่ มีความชอบในแผ่นดินมาก อย่าคิดสั้นยังงี้เลย จงหลีกไปเสียเถอะท่าน" "เราตั้งใจแล้ว ต้องทำให้ได้ พวกเจ้าจะจับเราไปประหารชีวิตก็เอาซี เราไม่กลัวหรอก" เสนาบดีบอกเท่านั้นเอง เหล่าทหารก็กรูกันเข้าจับเสนาบดีมัดมือไพล่หลัง นำไปถวายพระราชาโดยไม่รอช้า พระเจ้ากิงกิสสะมหาราช เมื่อทราบว่าเสนาบดีของพระองค์ฝ่าฝืนเสียเอง ก็ทรงพิโรธยิ่ง รับสั่งให้นำตัวไปตัดศีรษะทันที ฝ่ายพระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระฌานว่า โพธิเสนาบดีมีศรัทธาแรงกล้า ยอมสละชีวิตเพื่อจะถวายทานแด่พระองค์ดังนั้น ก็ทรงพระกรุณาแก่เสนาบดีมาก จึงเนรมิตพระพุทธนิมิตให้สถิตแทนพระองค์ ในพระวิหารส่วนพระองค์เสด็จไป ณ สถานที่ประหารเสนาบดี โดยให้เห็นเฉพาะตัวเสนาบดีเท่านั้น "ดูก่อนเสนาบดี ท่านทำถูกแก้ว จงมีศรัทธามั่นเถิด อย่าได้อาลัยในชีวิต และไทยทานของท่านอยู่ที่ไหนจงถวายเราเถิด" เสนาบดีผู้น่าสงสาร เมื่อได้สดับพระดำรัสของพระพุทธองค์ดังนั้น ก็บังเกิดความเลื่อมใสสุดหัวใจ รีบนำเอาห่ออาหารของตน กับภรรยา น้อมเกล้าฯ เข้าถวายพระพุทธองค์โดยศรัทธาอย่างสุดซึ้ง และยังได้ตั้งความปรารถนาไว้ต่อพระบาทของพระองค์ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ ชีวิตของข้าพระองค์ได้สละแล้วครั้งนี้ ด้วยอำนาจแห่งผลทานครั้งนี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพระองค์ ได้เป็นพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับพระองค์ในอนาคตโน้นเถิด" พระกัสสปพุทธเจ้า ทรงมีพระกรุณายกพระหัตถ์ขึ้นลูบศรีษะเสนาบดี แล้วทรงพยากรณ์ว่า "ท่านปรารถนาสิ่งใด ขอสิ่งนั้นจงพลันสำเร็จเถิด ดูก่อนเสนาบดี สิ่งที่ท่านปรารถนานั้น ท่านจะได้รับผลสำเร็จ โดยอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เบื้องหน้าโน้น" จากนั้น... โพธิเสนาบดีก็ถูกประหารชีวิต ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต และจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต เวียนว่ายตายเกิดในวฏสงสารช้านาน มาในชาตินี้ได้บังเกิดเป็นพญามารในชั้นปรนิมมิตสวัตตี ด้วยอำนาจแห่งบุญกรรมที่ตนทำไว้ด้วย ในภายหลังมีจิตริษยาในพระพุทธโคดมของเรา ที่เสด็จมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนตน ทั้ง ๆ ที่ตนบำเพ็ญบารมีมามากพอสมควรเหมือนกัน จึงเฝ้าตามประจัญด้วยประการต่าง ๆ แต่มิได้ล่วงเกินทำบาปหนักแต่ประการใด
ต่อมา หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้วได้ ๒๐๐ ปีเศษ พระเจ้าธรรมาโศกราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งชมพูทวีป ทรงมีศรัทธาอุตสาหะ สร้างพระสถูปเจดีย์ถึงแปดหมื่นสี่พันองค์ เพื่อบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา เสร็จแล้วทรงปรารถนาจะทำการฉลองใหญ่ มีกำหนดถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ให้สมกับความตั้งใจของพระองค์ที่มีมาช้านาน และในการฉลองครั้งใหญ่นี้พระองค์ทรงเกรงว่า จะได้รับการรบกวนจากพญามาราธิราช ผู้มีฤทธิ์แรงกล้าและมีจิตริษยา ไม่อยากให้ศาสนาของพระพุทธโคดมเจริญรุ่งเรืองสืบไป พระเจ้าธรรมาโศกราชจึงอาราธนาพระภิกษุสงฆ์ ให้ช่วยป้องกันอันตรายที่จะเกิดจากพญามารครั้งนี้ ฝ่ายภิกษุทั้งหลายในสังฆมณฑล รู้ว่าตนเองไม่สามารถสู้พญามารได้ และมีพระเถระผู้ใหญ่องค์หนึ่งจำพระพุทธพยากรณ์ ไว้ว่า "มีภิกษุรูปหนึ่งนามว่า อุปคุตเถระ จักปราบมารให้ละพยศ แล้วจักปรารถนาพุทธภูมิ" กล่าวกันว่า พระอุปคุตเถระองค์นี้ มีปกติสันโดษอยู่องค์เดียว และชอบแผลงฤทธิ์ลงไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เนรมิตปราสาทล้วนแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ ประดิษฐานในท้องมหาสมุทร นั่งเหนือรัตนบัลลังก์ เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุขอยู่ในท้องมหาสมุทร เป็นเวลาหลายวัน กระทั่งวันพุธเพ็ญกลางเดือน จึงออกจากสมาบัติ เหาะขึ้นบิณฑบาตในโลกมนุษย์ครั้งหนึ่ง แล้วก็กลับลงไปเข้าฌานสมาบัติ อยู่ในห้วงมหาสมุทรเช่นนั้นตลอดเวลา และ...ครั้งนี้เอง พระอุปคุตเถระถูกพระภิกษุสองรูปผู้ได้อภิญญาสมาบัติ ชำแรกมหาสมุทรลงมาถึงตัวท่านแจ้งโทษว่า "ดูก่อนท่านอุปคุต ตัวท่านนี้มิได้อยู่ร่วมอุโบสถสังฆกรรมกับสงฆ์เลย มาอยู่หาความสบายแต่ผู้เดียวควรที่สงฆ์จะลงทัณฑกรรมแก่ท่าน และบัดนี้คำสั่งจากสงฆ์ให้นำมาถึงท่าน ให้ท่านจงเป็นธุระป้องกันพญามารอย่าให้รบกวนงาน ฉลองพระสถูปเจดีย์ของพระเจ้าธรรมาโศกราชได้" พระเถระน้อมศีรษะรับคำสั่งของสงฆ์ โดยมิได้โต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น ครั้นถึงวันเปิดงาน พระเจ้าธรรมาโศกราชเสด็จสู่ลานพระเจดีย์ และมีพระภิกษุสงห์เป็นจำนวนมากมาร่วมงานอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ขณะนั้นเอง พญาวสวัตตีมาร ผู้มีจิตริษยา อดใจไม่ได้ จึงลงมาจากสวรรค์ชั้นที่ ๖ แล้วบันดาลให้เกิดพายุใหญ่พัดมา หวังจะดับประทีปบูชา ซึ่งจุดสว่างไสวไปทั่วบริเวณงาน ฝ่าย พระอุปคุตเถระ ซึ่งคอยระวังอยู่ ครั้นเห็นเช่นนั้นก็บันดาลให้พายุใหญ่แห่งพญามารอันตรธานหายไปสิ้น "บ๊ะ! ใครวะมาบังอาจทำลายฤทธิ์ของข้า" พญามารตวาดลั่นขึ้นด้วยความเดือดดาล ครั้นเห็นพระอุปคุตเถระนั่งก้มหน้าอยู่บนธรรมาสน์หน้าอาสนสงฆ์ และเมื่อรู้ด้วยฤทธิ์ว่า พระเถระองค์นี้เองกล้าสู้เราจึงเปลี่ยนแผน แปลงร่างเป็นวัวกระทิงตัวใหญ่ เขาโง้งแหลมคมราวกับหอก พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ ตรงเข้าไปชนโรงพิธีให้แหลกลาญทันที พระเถระเห็นเช่นนั้น ก็มิได้รอช้า แปลงร่างเป็นเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวใหญ่ โจนเข้าตะปบเจ้าวัวกระทิงด้วยเล็กเท้าอันแหลมคมทันที เล่นเอาเจ้าวัวกระทิงชะงัก และหันกลับมาหมายขวิดเสือโคร่ง ทั้งวัวกระทิงและเสือโคร่งฟาดฟันกันเป็นพัลวันอยู่ไม่กี่น้ำ วัวกระทิงก็โดนเสือตะปบ ล้มลงกองภาคพื้นทำท่าจะตายมิตายแหล่ แต่... เพียงชั่วอึดใจ มันก็กลายเป็นพญานาคเจ็ดเศียรพ่นไฟเข้าใส่หน้าเสือโคร่งใหญ่อย่างดุร้าย หมายเอาไฟเผาผลาญเสือโคร่งให้ไหม้เกรียมไปในทันที เมื่อเห็นตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบดังนั้น เสือโคร่งก็รีบเปลี่ยนร่างกายเป็น พญาครุฑตัวใหญ่ โดยเข้าจิกคาบเอาหัวพญานาคลากไปอย่างไม่ปราณี เล่นเอาพญานาคร้องโอดโอยลั่น ต้องรีบกลายร่างเป็นยักษ์ใหญ่ นัยน์ตาพอง ถือกระบองทองแดงเท่าต้นตาล กวัดแกว่งเข้าทุบศีรษะพญาครุฑโดยไม่รั้งรอ พระเถระรีบเปลี่ยนร่างเป็นยักษ์ตัวใหญ่ ใหญ่ขึ้นไปกว่าพญามารสองเท่า ถือกระบองทองแดงขนาดใหญ่สองอันเข้าฟาดกระบาลพญามารอย่างหนัก และรวดเร็วราวกับจักรผัน สุดที่พญามารจะปิดป้องได้ทัน ต้องสิ้นฤทธิ์ยอมแพ้ กลับร่างเป็นพญามารดังเดิม พระเถระเห็นดังนั้น ก็กลับร่างเช่นเดียวกัน แลโดยไม่รอให้นาทีทองผ่านไป พระเถระผู้ทรงฤทธิ์จึงรีบเนรมิตร่างหมาเน่า กลิ่นฟุ้งเหม็นเต็มไปด้วยหนอ ขึ้นตัวหนึ่ง ดึงประคตจากเอวของท่านออกมาผูกร่างหมาเน่านั้น โยนไปคล้องคอพญามาร ให้บัดดล พร้อมทั้งสำทับว่า "ใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นพระอินทร์ หรือพรหม อย่าเอาหมาเน่าเนื้อออกจากคอพญามารได้" ว่าแล้วขับไล่พญามารไปให้พ้นจากที่นั้น พญามารผู้มีฤทธิ์ ถูกซากหมาเน่าคล้องคอก็หมดฤทธิ์เอาเสียจริง ๆ จักเอาออกเองก็ไม่ได้ เพราะเมื่อเอาทั้งสองต้องสายประคตที่คล้องคอทีไร ต้องมีไฟลุกขึ้นไหม้คอและไหม้มือทันที สุดจะแก้ไขด้วยตนเอง จึงเหาะไปหาท้าวมหาราชทั้งสี่ให้ช่วยก็ไร้ผล จึงเหาะต่อไปหาพระอินทร์ ท้าวยามา ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมิตเทวราช ตลอดจนท้าวสหัสบดีพรหม ก็ไม่มีใครสามารถจะช่วยได้ท่านเหล่านั้นได้แต่แนะนำว่า "พวกเราช่วยท่านไม่ได้หรอก เพราะพระเถระเป็นผู้มีฤทธิ์สูงยิ่ง ขอให้ท่านกลับไปขอขมาท่าน และขอความเมตตาให้ท่านช่วยแก้ให้ ด้วยตัวท่านเองดีกว่า" พญามารเมื่อได้ยินดังนั้น ก็จำเป็นจำใจต้องกลับไปหาพระเถระ อ้อนวอนให้ช่วยเอาซากหมาเน่าออกจากคอให้ "ขอท่านได้โปรดเวทนาข้าด้วยเถอะ ข้ายอมแพ้ท่านแล้ว" พญามารอ้อนวอน "ช่วยเอาหมาเน่าออกจากคอข้าด้วย" "ได้ซิ พญามาร" พระอุปคุตเถระตอบ "เชิญท่านตามเรามาทางนี้" ว่าพรางเดินนำหน้าพญามาร ไปยังภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง ดึงเอาร่างหมาเน่าออกจากคอพญามารโยนทิ้งลงเหว และพร้อมกันนั้น เนรมิตสายประคตเอวให้ยาวออกและให้พันคอพญามาร รวบรัดไว้กับภูเขาลูกนั้น อย่างแน่นหนา แล้วสำทับอีกว่า "ท่านจงอยู่ที่นี่ จนกว่าพระเจ้าธรรมาโศกราชจะฉลองสถูปเจดีย์ครบ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน สำเร็จเสร็จสิ้นไปก่อน" ว่าแล้วก็เดินจากไป โดยไม่เหลียวหลังหันมามองพญามารผู้น่าสงสารอีก พญามารผู้สิ้นฤทธิ์ ถูกมัดอยู่กับภูเขาลูกนั้น ยืนตากแดดกรำฝน ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสอยู่เป็นเวลานานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน และเมื่องานฉลองมหาสถูปของพระเจ้าธรรมาโศกราชสำเร็จลง พระอุปคุตเถระจึงกลับมาหาพญามาร โดยครั้งแรกแอบอยู่ห่าง ๆ เพื่อฟังเสียงพญามารว่าละพยศร้ายหรือยัง พญามารเองเมื่อจากทิพยวิมานอันบรมสุข มารัทุกขเวทนาเช่นนี้ ก็ละพยศร้ายในสันดาน หวนนึกถึงพระพุทธโคดม จึงกล่าวออกมาว่า "เมื่อพระองค์สถิตภายใต้ต้นมหาโพธิ์ ข้าพระองค์ข้างจักราวุธอันคมกล้าไป หมายจะปลงพระชนมชีพพระองค์ แต่จักรอันนั้นกลับกลายเป็นดอกไม้บูชาพระองค์ และแม้ข้าจะขว้างอาวุธอย่างอื่นไป ก็กลับกลายเป็นดอกไม้บูชาพระองค์ทั้งหมด คราวนั้น ข้าพ่ายแพ้แก่พระองค์ แต่พระองค์มิได้ลงโทษตอบข้าให้ได้รับความทรมานแต่ประการใด บัดนี้ สาวกของพระองค์ช่างมีจิตใจเหี้ยมโหดทำร้ายข้า ให้ข้าได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัสเหลือเกิน" พญามารยิ่งคิดยิ่งโศกศัลย์และโกรธา เอาบาทกระทืบภูเขาเสียงดังสนั่น และในที่สุด...ก็ระลึกถึงความปรารถนาของตนที่เคยตั้งไว้ ณ แทบพระบาทของพระกัสสปพุทธเจ้า เมื่อครั้งเกิดเป็นโพธิเสนาบดี ก็ให้สลดใจสำนักบาป ออกปากอุทานว่า "โอหนอ เราทำกรรมหนักจริง ๆ ด้วยความริษยาแท้ ๆเราจึงเลวร้ายขนาดนี้ เอาละต่อไปนี้เราขอละจิตริษยาทั้งมวล และขอตั้งมั่นอยู่ในคุณความดี ความเที่ยงธรรม ความกรุณาอันสูงสุด เพื่อจะได้เป็นพระพุทธเจ้า และเป็นที่พึ่งแกสัตว์ทั้งหลายทั้งมวลในอนาคต" เมื่อพญามารกล่าวจบ พระเถระก็แสดงกายให้ปรากฏ และตรงเข้าแก้มัดพญามารโดยทันที "ดูก่อนพญามาร ขอท่านยกโทษให้ข้าด้วย" พระเถระกล่าวขึ้น "การกระทำของข้าครั้งนี้ แม้จะทรมานท่าน แต่ก็เป็นประโยชน์ให้ท่านระลึกถึงพุทธภูมิที่ท่านเคยปรารถนาไว้ ตั้งแต่บัดนี้ไปท่านเป็นปูชนียบุคคลอบรมโพธิสัตว์ ที่ชาวโลกจะกราบไหว้บูชา" ต่อจากนั้นพระเถระได้ขอให้พญามารเนรมิตกายเป็นพระพุทธองค์ เพื่อจะได้เห็นเป็นพุทธานุสติบ้าง ซึ่งพญามารก็รับคำ แต่ขอร้องว่าเมื่อเห็นเขาเนรมิตกายเป็นพระพุทธองค์แล้ว อย่างหลงกราบไหว้เป็นอันขาด เพราะจะให้เขาบาปหนัก ครั้นแล้ว พญามารก็เนรมิตกายเป็นพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ และฉัพพรรณรังสี อันวิจิตร มีพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา แวดล้อมด้วย มหาสาวกทั้งหลายเป็นบริวารเสด็จเยื้องย่างด้วยพุทธลีลาอันงดงามยิ่ง พระเถระและพุทธบริษัทเห็นเช่นนั้น ก็เกิดความปีติยินดีสูงยิ่ง ถึงกับลืมตัว พร้อมกันถวายนมัสการด้วยเญจางคประดิษฐ์สักการะบูชาด้วยกันทั้งสิ้น เล่นเอาพญามารตกใจรีบกลับกลายร่างเดิม "ทำไมท่านลืมสัญญามาไหว้ข้าเล่า" พญามารท้วง พระอุปคุตกล่าว "พวกเรามิได้ไหว้ท่านหรอก เพียงแต่ไหว้สักการะบูชาพระพุทธเจ้าและพระสาวกต่างหาก" "แต่ข้าก็บาปหนักนะท่าน" "ไม่บาปหรอก ท่านได้ทำกุศลแก่พวกเราต่างหาก" พระเถระยืนยันในที่สุด จากนั้นพญามารก็กลับคืนสู่สวรรค์ ชั้นที่ ๖ วิมานของตน และนับแต่นั้นมาพญามารได้มีจิตอ่อนน้อมเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา หมดสิ้นน้ำใจริษยา และบำเพ็ญบารมีเพื่อพุทธภูมิต่อไปจนขณะนี้ พญามารจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่า "พระพุทธธรรมสามี" เป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวในกัลป์นั้น มีไม้รังเป็นที่ตรัสรู้ ในอนาคตกาลอีกไกลพ้น อายุของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เทวดาผู้สถิตเสวยทิพยสมบัติ ณ สวรรค์ชั้นที่ ๖ นี้ มีอายุนานถึง ๑๖๐๐๐ ปีทิพย์ หรือเก้าร้อยยี่สิบเอ็ดโกฏิหกล้านปี ในเมืองมนุษย์ บุญของผู้ที่จะมาเกิดในสวรรค์ชั้น ๖ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ต้องมีจิตบริสุทธิ์ มั่นอยู่ในศีล มีศรัทธาสูงส่ง หมั่นบริจาคทาน มีพรหมวิหารธรรมประจำใจ คิดเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ครั้นสิ้นชีพแล้ว จักบังเกิดในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี อันเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดแห่งนี้แล...

มารประจำพุทธศาสนา

มารประจำพุทธศาสนาแบ่งแยกเป็นประเภทต่างๆดังต่อไปนี้ครับ
๑) กิเลสมาร คือกิเลสของเราเอง คงเคยคิดกันมาบ้างว่าตัวคุณเหมือนมีคนสองคนรบกันอยู่ ฝ่ายหนึ่งอยากแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้พ้นทุกข์ อีกฝ่ายขี้เกียจหรือยังดื้อดึงหวงแหนต้นตอทุกข์เอาไว้ เช่นเห็นๆอยู่ว่าเป็นชู้แล้วจะร้อนใจ เล่นพนันแล้วจะหมดตัว แต่จนแล้วจนรอดก็อดไม่ได้สักที สรุปคือตัวเราในภาคที่ใฝ่ต่ำนั่นแหละ คือมารที่ติดตามตัวไปทุกฝีก้าว ว่าไปแล้วมารประเภทนี้น่ากลัวเหนือมารชนิดอื่นใด เพราะมันติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ แถมคนเราก็มักไม่รู้ตัว เพราะเอาแต่ตั้งท่าระวังมารแบบอื่น ไม่ได้ตั้งท่าระวังมารซึ่งเป็นอีกภาคหนึ่งของตัวเองเอาไว้ กิเลสมารนี่ดักทางไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทางเลยทีเดียว กะแค่งดเว้นความประพฤติมิชอบยังสละไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปคิดถึงการสละความหลงผิดระดับละเอียดกัน พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายมืดมนอยู่ด้วยกาม ถูกปกคลุมอยู่ด้วยตาข่ายคือตัณหา ถูกปกปิดด้วยเครื่องมุงคือตัณหา ถูกกิเลสมารและเทวปุตตมารผูกพันไว้แล้ว ต่างจึงต้องมุ่งไปสู่ชราและมรณะ เหมือนปลาที่ปากไซ เหมือนลูกโคที่ยังตามดื่มนมจากแม่โคไปเรื่อย (จากคำตรัสตรงนี้ ยืนยันให้เห็นว่ามารที่เป็นกิเลสในตัวเราก็ส่วนหนึ่ง มารที่เป็นเทวดานอกตัวเราก็อีกส่วนหนึ่ง แสดงแล้วว่าพระศาสดาท่านรับรองการมีอยู่ของมารที่เป็นเทวดา) แง่สังเกตสำคัญในข้อนี้ที่อยากชี้ให้เห็น คือพวกเราทุกคนถูกกิเลสปกปิดความจริงอันประเสริฐสูงสุดไว้ ถูกกล่อมประสาทให้อาลัยอาวรณ์ ยึดติดอยู่กับสิ่งที่ไม่ควรยึดติดไว้ ดังนั้นเมื่อถูกสะกิดให้รู้ตัวแล้ว ก็อาจสะดุ้งตื่น และเพียรพยายามหลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลสมารกันต่อไป แต่หากไม่รู้ตัว ก็ย่อมพึงใจที่จะอาลัยอาวรณ์เรื่อยเปื่อย นึกว่าอะไรๆก็ควรยึดมั่นถือมั่นไว้กับตัว หวังความทนอยู่เที่ยงแท้ถาวรของตัวตนหรือสมบัติพัสถานอันเป็นที่รักไปทั้งนั้น อีกแง่สังเกตหนึ่งเมื่อรู้จักกิเลสมาร คือเราจะไม่เห็นว่าเพศตรงข้าม เงินทอง บ้านเรือน รถยนต์ โรงหนัง เรือยอร์ช ฯลฯ เป็นมารขัดขวางทางไปสวรรค์นิพพาน แต่จะเห็นเพียงว่าสิ่งเหล่านั้นคือเครื่องล่อให้มารทำงาน ต่อไปจะโทษอะไรก็จะได้โทษตัวเองที่เป็นภาคมารก่อนโทษข้าวของไร้ชีวิตภายนอก
๒) ขันธมาร คือกายใจของเราเอง อย่างที่กล่าวไว้ว่าพุทธศาสนาเรามุ่งเอานิพพานเป็นที่สุด สิ่งใดขวางไม่ให้เห็นนิพพาน สิ่งใดหน่วงเหนี่ยวไว้ไม่ให้ถึงนิพพาน สิ่งนั้นจัดเป็นมาร ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสไว้ว่ากายใจนี้แหละคือมารชนิดหนึ่ง เพราะสัมผัสทางกายใจเป็นรากฐานของความอาลัย ไม่ชวนให้เกิดความยินดีในนิพพาน พระองค์ท่านตรัสสอนภิกษุสาวกให้พิจารณาว่ากายนี้ก็ดี สุขทุกข์ก็ดี ความหมายรู้หมายจำก็ดี เจตนาดีชั่วก็ดี ความรับรู้ต่างๆก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นมาร เพราะเมื่อสิ่งเหล่านี้มี จึงมีความตาย จึงมีโรค จึงมีภัยประการต่างๆ สรุปคือสิ่งเหล่านี้เป็นตัวทุกข์โดยตรง หากเห็นเช่นนี้ได้ ก็จัดเป็นความเห็นชอบทางพุทธศาสนาขั้นสูง หากคุณกำลังสงสัยว่าจะเห็นชอบเช่นนี้ไปทำไม พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสตอบว่าประโยชน์ของความเห็นชอบทำให้แหนงหน่ายความมีความเป็น และเมื่อแหนงหน่ายก็ย่อมคลายความกำหนัดยินดีในกายใจนี้ เมื่อคลายความกำหนัดยินดีย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นย่อมเข้าถึงนิพพาน นิพพานนั่นเองเป็นที่สุดของประโยชน์ ไม่มีประโยชน์อื่นใดเหนือกว่านี้อีก เพราะบุคคลย่อมดับทุกข์ดับโศกอย่างถาวรเมื่อปราศจากกายใจ ตราบใดมีกายใจก็ยังมีเครื่องล่อไม่ให้รู้จัก ไม่ให้อยากฝันถึงนิพพานไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งสับสนนะครับ อย่านึกว่าเจริญล่ะ ถ้ากายใจเป็นมารก็คว้ามีดมาแทงตัวให้ตายไม่เหมาะหรือ? ในความเห็นชอบขั้นต้นเราต้องมองว่ากายใจมนุษย์นี้เป็นบันไดกุศล เปิดโอกาสให้เราบำเพ็ญบารมีจนดีพอจะเข้าถึงพระนิพพานได้ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านทำนิพพานให้แจ้งแล้ว กายใจก็ไม่เป็นมารอีกต่อไป และท่านก็ยังคงใช้กายใจนี้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสัตว์โลกต่อไป ไม่ทำลายทิ้งเสียก่อนกาลอันควรเลย
๓) อภิสังขารมาร คือบาป บุญ และฌาน ที่สิ่งเหล่านี้ถือเป็นมารได้ก็เพราะบาปเป็นตัวก่อภพที่น่าสะพรึงกลัว บุญเป็นตัวก่อภพดีๆที่น่าติดใจไม่เลิก ส่วนฌานเป็นตัวก่อภพที่ประณีตสูงส่งเหนือกามารมณ์ ถึงแม้ดีวิเศษอย่างไร ภพก็คือภพ เมื่อมีได้ก็ต้องเสียได้ เมื่อตั้งอยู่ย่อมแปรปรวนไป เมื่อแปรปรวนไปย่อมต้องจากพราก ย่อมต้องพ้นจากสภาพนั้นๆในวันหนึ่ง บันดาลความเศร้าโศกอาลัย ความคร่ำครวญเสียดาย วนไปเวียนมาไม่รู้จบรู้สิ้น พระพุทธเจ้าส่งเสริมให้ทำดีมากๆ คือรู้ว่ายังไม่มีดีข้อไหนก็ทำให้มีเสีย รู้ว่ามีดีข้อไหนแล้วก็เพิ่มให้ยิ่งขึ้นไปอีก แต่ความดีอันเป็นที่สุดคือไม่สำคัญว่าความดีเป็นเป้าหมายสูงสุด เป้าหมายสูงสุดของพุทธคือข้ามพ้นจากภาวะน่ายินดีติดใจทั้งปวง มีความจริงระดับยอดอยู่ประการหนึ่งที่ชวนฉงน นั่นคือเมื่อพระอรหันต์ท่านสว่างแจ้งแทงตลอดแล้ว แม้ท่านจะแสนดี เมตตากรุณาต่อชาวโลกเพียงใด อาการทางใจของท่านก็จะสักแต่เป็นกิริยา ไม่เป็นบุญแบบก่อภพก่อชาติ อันนี้อย่าไปเลียนแบบท่านนะครับ บางคนอยากลัดขั้นเป็นอรหันต์ดิบ ไม่ต้องทำบุญ ไม่อยากให้ใจเป็นบุญ ความจริงพวกเราต้องเกาะบุญไว้ เหมือนตราบใดไม่ถึงฝั่งก็ต้องพึ่งเรือไปเรื่อยๆ จนกว่าจะประชิดฝั่งจริงๆถึงค่อยเห็นเรือเป็นมารที่สมควรทอดทิ้งไว้ เพราะถ้าขืนยังอาลัยก็ไม่ได้ขึ้นฝั่งเท่านั้น
๔) มัจจุมาร คือความตาย ที่ความตายถูกจัดให้เป็นมารก็เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่คนเราส่วนใหญ่จะตายเสียก่อนรู้จักหนทางหลุดพ้น หรือรู้จักหนทางหลุดพ้นแล้วก็ตายเสียก่อนจะบำเพ็ญเพียรจนหลุดพ้นได้สำเร็จจริง ในครั้งพุทธกาลมีภิกษุจำนวนมาก บำเพ็ญเพียรเต็มกำลัง แต่ยังไม่ทันสำเร็จอรหัตตผลก็หมดอายุเสียก่อน และแม้ในยุคเราก็มีพระป่าจำนวนหนึ่ง เอาชีวิตของพวกท่านไปทิ้งในป่ากันเงียบๆ โดยยังไม่ทันบรรลุผลอันเป็นที่สุดกัน พระอรหันต์เป็นบุคคลประเภทเดียวที่ละมัจจุมารเสียได้ กล่าวคือเมื่อหมดกิเลส จิตก็ลอยบุญ ลอยบาป อยู่เหนือธรรมชาติปรุงแต่งให้เกิดภพใหม่ แม้เราจะเห็นด้วยตาเปล่าว่าร่างกายพวกท่านทอดนอนเหมือนขอนไม้ยามสิ้นลม นั่นก็ไม่จัดเป็นมัจจุมาร เพราะความตายขัดขวางการเข้าถึงนิพพานของพวกท่านไม่ได้อีกแล้ว พวกท่านถึงนิพพานเสียก่อนที่มัจจุราชจะมาตัดหน้าชิงตัวไปเกิดในภพใหม่แล้ว
๕) เทวปุตตมาร คือเทวดาพวกที่มีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือเห็นใครอยากไปนิพพานเป็นไม่ได้ ต้องทุรนทุราย อยากเข้าไปขัดขวาง หรือเมื่อเห็นใครเป็นพระอรหันต์และอาจนำหมู่ชนจำนวนมากให้สำเร็จมรรคผลนิพพานตามได้ ก็จะบังเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ อยากให้พวกท่านล้มหายตายจาก ตามหลักฐานในคัมภีร์ บางทีก็เล่นงานกันตรงๆแบบถึงเนื้อถึงตัว หรือเมื่อเล่นงานแบบถึงเนื้อถึงตัวไม่ได้ ก็จะใช้วิธีขอให้รีบลาไปนิพพานดื้อๆ อย่างเช่นที่มารไปทูลขอพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธศาสนาตั้งมั่นแล้ว หมดกิจของพระองค์ท่านแล้ว จึงควรกำหนดปลงอายุเพื่อดับขันธปรินิพพานเสียเถิด ปัจจุบันมักมีนักวิชาการมองว่าเทวปุตตมารกับกิเลสมารคืออันเดียวกัน ความจริงคือเป็นคนละอย่างกัน เช่นที่พระพุทธเจ้าท่านหมดกิเลสแล้ว ย่อมไม่ถูกกิเลสมารมารบกวนเป็นแน่ และอีกประการคือท่านตรัสชัดว่าหมู่ชนถูกพันธนาการไว้ด้วยกิเลสมารและเทวปุตตมาร ถ้าเป็นอันเดียวกันก็คงไม่มีคำว่า ‘และ’ มาเป็นตัวแบ่งแยก

ทำไมพระยามารจึงได้อยู่บนสวรรค์ชั้น 6

พระยามาราธิราชโพธิสัตว์ แท้ที่จริงแล้ว ท่านคือ พระมหาโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง จัดอยู่ในประเภท พระนิยตะโพธิสัตว์ คือ ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้วว่า จะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอนในอนาคต เหตุที่ได้ชื่อว่า เป็นพระยามาราธิราช เนื่องด้วยพระองค์ทรงเกิดจิตอิจฉา ริษยา พระสมณโคดม ที่จะได้มาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนพระองค์ ทั้งที่พระองค์นั้นได้บำเพ็ญพระบารมีมาก่อน แต่เหตุไฉนใยฤา เหล่าพระพรหม และทวยเทพทั้งปวง จึงไม่อัญเชิญพระองค์ ซึ่งขณะนั้น หรือแม้ในขณะทุกวันนี้ เสวยพระชาติเป็น “ท้าวปรนิมิตตวสววัตตีมาราธิราช” เทวราชผู้เป็นใหญ่ 1 ใน 2พระองค์ที่ปกครองสวรรค์ชั้นที่ 6 ที่ชื่อว่า สวรรค์ชั้นปรนิมิตตวสวัตตีแต่กลับพากันไปอัญทูลเชิญ “ท้าวสันต์ดุสิตเทวราช” เทวราชาแห่งสวรรค์ชั้นที่ 4ที่ชื่อว่า ชั้นดุสิต ให้เสด็จลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไป ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงคอยหาจังหวะและโอกาส ที่จะขัดขวางการตรัสรู้ให้จงได้ และเมื่อสบโอกาสในช่วงค่ำ ของคืนวันเพ็ญเดือน 6 ในขณะที่พระสมณโคดมกำลังเตรียมการ ที่จะบำเพ็ญเพียรพระบารมีอย่างเต็มที่ ท้าวปรนิมิตตวสวัตตีมาราธิราช ได้จำแลงกายเป็น “พระยาวสวัตตีมาราธิราช” ทรงช้างนามว่า “ ครีเมขลา” พาเหล่าเสนามาร และกองทัพมารทั้งหลาย พรั่งพร้อมด้วยศาสตราวุธครบมือ มากันอย่างมืดฟ้ามัวดิน เข้ามารังควาญ โดยกล่าวว่า ที่นี่พระองค์ประทับใต้ต้นโพธิ์นี้ เป็นที่ของตน ต้องการให้พระสมณโคดมหลีกลี้หนีห่างไปให้พ้น ถ้าพูดกันดี ๆ ไม่ฟัง ก็คงต้องใช้กำลังกันล่ะแต่แทนที่พระพุทธองค์จะทรงเกรงกลัว กลับสงบนิ่ง พร้อมกับทรงดำรัสว่า “มารเอย ที่ท่านบอกว่าที่ที่เรานั่งอยู่นี้เป็นของท่าน แท้จริงแล้ว เป็นที่ที่เราได้เคยบำเพ็ญบารมีมาช้านาน ใยท่านมากล่าวตู่เช่นนี้” พระยามาราธิราช ได้ฟังดังนั้น ก็กล่าวถามไปว่า “การที่ท่านบอกว่า ที่ที่นี้เป็นที่ของท่านบำเพ็ญบารมีมานั้น ท่านมีพยานหลักฐานอันใดหรือ ส่วนเรานั้น เหล่าพลมารพวกนี้ เป็นพยานให้เราได้”พระสมณโคดมทรงดำรัสตอบว่า “ต้องการพยาน หลักฐาน กระนั้นหรือ ได้เลย พระยามาร” แล้วพระองค์ท่านก็ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถ จากท่าพระหัตถ์ประสานกันขวาทับซ้าย มาเป็นพระหัตถ์ขวาวางไว้ที่พระชานุ (เข่า) ชี้นิ้วพระหัตถ์ลงบนพื้นดิน ส่วนพระหัตถ์ซ้ายยังคงอยู่ที่เดิม หรือที่เรารู้จักกันในปางมารวิชัย และแล้ว ก็บังเกิดมีแม่พระธรณี แทรกแผ่นดินขึ้นมาต่อหน้าพระพักตร์ ระหว่างพระสมณโคดมกับพระยามาร พร้อมกับกล่าวว่า “ข้านี่แหละ เป็นพยานให้ เพราะรู้เห็นการบำเพ็ญเพียรของพระสมณโคดมมาตลอด และนี่คือหลักฐานที่พระสมณโคดม ได้หลั่งน้ำอุทิศในการบำเพ็ญทานบารมีเอาไว้”
พญามารนั้น ก่อนที่จะมาเสวยชาติเกิดเป็นพญามาร ครั้งหนึ่งได้เกิดเป็นมนุษย์ และได้มีชีวิตอยู่ในสมัยพุทธกาลของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ (พระพุทธเจ้านั้นได้เคยบังเกิดขึ้นแล้วหลายพระองค์ ซึ่งต่างกับป์ต่างกัลย์กันมาก เรียกได้ว่า โลกมนุษย์เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง จะมีพุทธเจ้าเกิดขึ้น 1 พระองค์เท่านั้น) พญามารผู้นี้ได้เกิดเป็นมนุษย์มียามว่า โพธิ์อำมาตย์ เป็นถึงอัครเสนาบดีของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช ผู้ที่มีพระทัยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างมากวันหนึ่งทรงทราบว่า พระพุทธเจ้าได้เข้าฌานนิโรธสมาบัติ ซึ่งผู้ที่ได้ถวายทานเป็นคนแรกหลังจากพุทธเจ้าออกจากฌาน จะเป็นบุญมหาศาลยิ่งนัก ถึงขั้นขออะไรก็จะสำเร็จดังนั้นทุกประการทีเดียว(มีตัวอย่างมาแล้วในสมัยพุทธกาลที่ผ่านมา แต่ยังไม่เล่า) พระเจ้ากิงกิสสะจึงประกาศห้ามผู้ใดไปถวายทานก่อนพระองค์เป็นอันขาด ใครฝ่าฝืนจะประหารชีวิตในทันทีโพธิ์อำมาตย์ แม้จะทราบคำสั่งของเหนือหัว แต่ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะถวายทาน ถึงกับไม่กลัวตาย รุ่งขึ้นจึงได้ชวนภรรยาพร้อมด้วยเครื่องไทยทานรวม 2 ห่อ ตรงไปยังบริเวณต้นไทรใหญ่ที่พระพุทธเจ้าทรงเข้าฌานอยู่ ทหารรักษาการณ์เห็นดังนั้น จึงตรงเข้าขัดขวาง แต่โพธิ์อำมาตย์ได้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะถวายทานให้ได้ ที่จริงจะบอกไปก็ได้ว่าเหนือหัวให้มาอาราธนาเข้าไปในวัง แต่ไม่ควรจะโกหกเช่นนั้น จึงได้บอกความจริงไปแม้จะต้องถูกประหารก็ไม่กลัว เช่นนั้นแล้วจึงได้ถูกทหารจับตัวไป เมื่อพระเจ้ากิงกิสสะได้ทราบข่าวว่าเสนาบดีของตนเองได้ละเมิดคำสั่งเสียเอง จึงพิโรธเป็นอันมาก จึงได้สั่งประหารทันทีฝ่ายพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณว่าโพธิ์อำมาตย์ได้มีศรัทธาแรงกล้าจะถวายทาน แม้จะถูกประหารก็ไม่กลัว จึงทรงกรุณาแก่เสนาบดีมาก จึงเนรมิตพุทธนิมิตให้สถิตย์แทนพระองค์ แล้วไปปรากฎตัวแก่โพธิ์อำมาตย์โดยให้เห็นเฉพาะโพะอำมาตย์เท่านั้น แล้วได้กล่าวว่า"ดูก่อนโพธ์อำมาตย์ ท่านทำถูกแล้วจงมีศรัทธามั่นเถิด อย่าอาลัยในชีวิต ไทยทานของท่านอยู่ที่ไหน จงถวายเราเถิด"เสนาบดีผู้น่าสงสาร เมื่อได้ฟังคำตรัสของพุทธเจ้าแล้ว ได้เกิดความเลื่อมใสอย่างสุดใจ รีบนำเครื่องไทยทานของตนและภรรยามาถวายด้วยความศรัทธาอย่างที่สุด และได้ตั้งความปรารถนาแทบพระบาทเอาไว้ว่า"ด้วยอำนาจแห่งผลทานครั้งนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ข้าพระองค์ได้เป็นพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระองค์ในอนาคตกาลโน้นเถิด"กัสสปะพุทธเจ้าได้ยกพระหัตย์ลูบศีรษะของโพธิ์อำมาตย์และได้กล่าวพยากรณ์ว่า"ท่านปรารถนาสิ่งใด ขอสิ่งนั้นจงสำเร็จเถิด ท่านจะได้อุบัติเป็นพุทธเจ้าในอนาคตในอนาคตเบื้องหน้าโน้น"หลังจากนั้น เสนาบดีก็ถูกประหารชีวิต แล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต และจุติจากดุสิตสวรรค์ลงมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎมาช้านาน จนล่าสุดได้ไปเกิดเป็นพญามารดังที่กล่าวไว้น่นเอง แต่เนื่องจากมีจิตริษยาในพระพุทธโคดม คือ พุทธเจ้าของเรา ที่มาตรัสรู้ก่อนตน จึงได้ตามเฝ้าประจัญขัดขวางต่างๆ แต่มิได้ล่วงเกินบาปหนักแต่ประการใดต่อมา หลังจากพระพุทธเจ้าของเราปรินิพพานได้ 200 ปีเศษๆ พระเจ้าธรรมาโศกราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีป ทรงมีศรัทธาอุตสาหะ สร้างพระสถูปเจดีย์ถึงแปดหมื่นสี่พันองค์ เพื่อเป็นการบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และยังปรารถนาจะทำการฉลองใหญ่ มีกำหนดถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ให้สมกับความตั้งใจของพระองค์ที่มีมานาน และการฉลองใหญ่ครั้งนี้ พระองค์เกรงว่าจะถูกรบกวนจากพญามาร ผู้มีอิธิฤทธิ์สูงส่งนักและมีจิตริษยา พระเจ้าธรรมาโศกราชจึงได้อาราธนาภิกษุสงฆ์เพื่อให้ช่วยป้องกันภัยจากพญามารนี้ แต่เหล่าสงฆ์ทั้งหลายในสังฆมณฑลรู้ตัวดีว่าไม่อาจสู้ฤทธิ์ของพญามารนี้ได้ แต่มีภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งจำพุทธพยากรณ์ได้ว่า จะมีภิกษุสงฆืรูปหนึ่ง นามว่า อุปคุตเถระ จักปราบมารให้ละพยศ และจักปรารถนาพุทธภูมิกล่าวกันว่าอุปคุตเถระผู้นี้ มีปกติสันโดษอยู่องค์เดียว ชอบแผลงฤทธิ์ลงไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ และเนรมิตปราสาทล้วนด้วยแก้ว 7 ประการ ประดิษฐานอยู่ในท้องมหาสมุทร นั่งเหนือรัตนบัลลังค์ เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุติสุขอยู่ลำพัง เป็นเวลาหลายวัน จนวันพุธเพ็ญกลางเดือน จึงออกจากสมาบัติ เหาะขึ้นมาบิณฑบาทบนโลกมนุษย์ครั้งหนึ่ง แล้วจึงกลับลงไปเข้าฌาน เป็นแบบนี้ตลอดเวลาและในครั้งนี้นี่เอง พระอุปคุตเถระ ได้ถูกภิกษุ 2 รูป ผู้ได้อภิญญาชำแรกมหาสมุทรลงมาแจ้งโทษแก่ท่าน ว่าไม่มีสังฆกรรมร่วมกับสงฆ์ กลับมาหาความสบายแต่ผู้เดียว บัดนี้คำสังจากสงฆ์นำมาถึงท่าน ให้ท่านเป็นธุระป้องกันพญามาร อย่าให้ได้รบกวนงานฉลองของพระเจ้าธรรมาโศกราชได้ พระเถระน้อมรับคำสั่งโดยมิได้โต้แย้งใดๆวันเปิดงานมาถึง พระเจ้าธรรมาโศกราชได้เข้าสู่บริเวณงาน พร้อมด้วยคณะสงฆ์มากมาย ขณะนั้นนั่นเอง พญามารผู้มีใจริษยา อดใจไม่ไหว จึงลงมาจากปรนิมมิตสวัตตี บันดาลให้เกิดพายุใหญ่พัดกระหน่ำ หวังจะทำลายงานดับประทีปบูชาที่จุดสว่างสไว ฝ่ายพระอุปคุตเถระซึ่งได้คอยระวังอยู่แล้ว จึงบัดาลให้พายุนั้นอันตรธานหายไปพญามารจึงได้โมโหโกรธายิ่งขึ้น และรู้ได้ด้วยฤทธิ์ว่าพระรูปนี้นั่นเอง ที่เป็นผู้ต่อกร จึงเปลี่ยนแผน แปลงร่างเป็นวัวกระทิงตัวใหญ่ยักษ์ เขาโง้งแหลมคมราวกับหอก วิ่งพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ หวังจะทำลายโรงพิธีให้แหลกไป พระเถระเห็นเช่นนั้น ก็ไม่รอช้า แปลงกายเป็นเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ ตรงเข้าตะลุมบอล ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ไม่นานนักวัวกระทิงก็โดนเสือตะปบไปนอนกองแทบจะตายแหล่ แต่ไม่นานมันก็เปลี่ยนร่างเป็นพญานาค 7 เศียร พ่นไฟใส่เสื่อโคร่ง หมายจะเอาชีวิต พระเถระเห็นว่าเสียเปรียบจึงแปลงกายเป็นพญาครุฑตัวใหญ่ โดดเข้าจิกหัวพญานาคลากกลิ้งไปอย่างไม่ปราณี เล่นเอาพญานาคร้องโอดโอยและได้เปลี่ยนร่างเป็นยักษ์ใหญ่ นัยน์ตาดุดัน ถือกระบองยักษ์เท่าต้นตาล กวัดแกว่งทุบหัวพญาครุฑโดยไม่รั้งรอ พญาครุฑเห็นเช่นนั้น จึงเปลี่ยนร่างเป็นยักษ์ที่ใหญ่กว่าถึง 2 เท่า ถือกระบองยักษ์ 2 อัน เหวี่ยงเข้าทุบศีรษะพญามารอย่างรุนแรง และรวดเร็วราวกับจักรผัน ยากที่พญามารจะป้องกันได้ ในที่สุดก็กลับร่างและยอมแพ้ไปในที่สุดพระเถระเห็นดังนั้น ไม่รอช้า ได้เนรมิตร่างหมาเน่า กลิ่นเหม็นฟุ้งเต็มไปด้วยหนอน และดึงประคตจากเอวของท่าน ออกมาผูกร่างหมาเน่าและเหวี่ยงไปคล้องคอพญามาร พร้อมกล่าวว่า"ไม่ว่าใครก็ตาม ย่อมไม่อาจเอาหมาเน่าออกจากคอพญามารนี้ได้"จากนั้นก็ขับไล่พญามารให้ออกไปจากพื้นที่นั้นพญามารผู้เลิศฤทธิ์ พอถูกหมาเน่าคล้องคอก็พาลหมดฤทธิ์เอา ไม่อาจทำอะไรได้ จะเอาออกเองก็มิได้ ได้แต่ไปวอนขอให้เพื่อนเทวดา ตั้งแต่เทวกษัตริย์สวรรค์ชั้นที่ 1 - 6 ให้ช่วยเอาออกให้ ก็ไม่มีใครเอาออกได้ ได้แต่แนะนำว่า ให้ไปขอขมากับพระเถระดีกว่า ให้ท่านช่วยแก้ให้ พญามารไม่มีทางเลือก ได้แต่จำใจกลับไปหาพระเถระ เพื่อขอขมาและบอกให้ท่านช่วยเอาออกให้ พระเถระยินดีเอาออกให้ แต่ก่อนอื่น อยากให้ตามมาทางนี้ก่อน พระเถระได้นำพญามารมายังภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง แล้วหยิบเอาหมาเน่าออกและโยนทิ้งไปในเหว พร้อมกันนั้น ก็เนรมิตประคตนั้นให้ยาวขึ้น และพันรอบตัวพญามารไว้กับภูเขา แล้วกล่าวว่า"ท่านจงอยู่ที่นี่ จนกว่าพระเจ้าธรรมาโศกราชจะทำพิธีฉลองสถูปเจดีย์ครบ 7 ปี 7 เดือน 7 วันให้เสร็จสิ้นไปก่อน"กล่าวจบก็เดินไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองพญามารได้รับทุกขเวทนาอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน จนเมื่อครบกำหนด พระเถระได้กลับมาเพื่อจะปลดปล่อยพญามาร แต่ได้เดินมาแอบดูก่อน พญามารเป็นอย่างไรบ้าง พญามารเอง ก่อนเคยมีวิมาน มีสุข เมื่อมารับทุกขเวทนาเช่นนี้จึงละพยศในสันดาน และนึกถึงพุทธโคดมและกล่าวออกมาว่า"เมื่อพระองค์สถิตย์ใต้ต้นมหาโพธิ์ ข้าพระองค์ขว้างจักราวุธอันคมกล้าไป หมายจะปลิดชีพพระองค์ แต่จักรนั้นกลับกลายเป็นดอกไม้บูชาพระองคื และไม่ว่าจะขว้างอาวุธอะไรไป ก็กลายเป็นดอกไม้ไปเสียหมด คราวนั้นข้าพ่ายแก่พระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่ได้โต้ตอบอันใด บัดนี้สาวกของพระองค์มีจิตใจ***วมโหดทำร้ายข้า ทำให้ข้าพระองค์ได้รับทุกข์สาหัสเหลือเกิน"คิดแล้วก็เศร้าโศกและโมโห เอาบาทกระทืบพื้นดังลั่น แต่แล้วก็หวนคิดถึงพุทธภูมิที่เคยตั้งใจไว้ที่แทบพระบาทกัสสปะพุทธเจ้า ในที่สุดพญามารก็สำนึกได้ จึงลดละความริษยา ตั้งใจอยู่ในคุณธรรม เพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลายในอนาคตครั้นกล่าวจบ พระเถระได้แสดงตนออกมา และแก้มัดให้กับพญามาร"ดูก่อนพญามาร ขอท่านยกโทษให้ข้าด้วย แม้การกระทำของข้าครั้งนี้จะทำร้ายท่าน แต่ก็ทำให้ท่านระลึกถึงพุทธภูมิที่ท่านเคยตั้งใจปรารถนาไว้"ต่อจากนั้น พระเถระได้ขอให้พญามารได้แปลงกายเป็นพุทธองค์ เพื่อจะได้เห็นพุทธานุสติบ้าง พญามารรับคำ แต่บอกว่า ห้ามลืมตัวกราบไหว้เด็ดขาด มิฉะนั้นตนจะบาปหนักครั้นแล้ว พญามารก็เนรมิตตนเป็นพุทธเจ้า ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ และฉัพพรรณรังสีอันวิจิตร มีพระอัครสาวกเบื้องซ้ายขวา แวดล้อมด้วยมหาสาวกทั้งหลายเป็นบริวารเสด็จเยื้องย่างด้วยพุทธลีลางดงามยิ่งนักพระเถระและพุทธบริษัทเห็นเช่นนั้น ก็เกิดความปิติอย่างสูงยิ่ง เกิดปิติลืมตัวพร้อมกันนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์ทั้งสิ้น ทำให้พญามารตกใจกลับร่างเดิม"ทำไมท่านลืมสัญญามากราบไหว้ข่าเล่า""พวกเรามิได้ไหว้ท่านหรอก เพียงแต่กราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้าและพระสาวกตางหาก""แต่ข้าก็บาปนะท่าน""ไม่บาปหรอก ท่านได้ทำกุศลแก่พวกเราตางหาก"จากนั้น พญามารก็กลับคืนสู่สวรรค์ และตั้งแต่นั้นมา พญามารก็มีจิตเลื่อมใสในพุทธศาสนามาตลอด และบำเพ็ญตนเพื่อจะได้มาตรัสรู้เป็นพุทธเจ้าในอนาคตต่อไป... พญามารจะมาบังเกิดเป็นพุทธเจ้ามีพระนามว่า "พระพุทธธรรมสามี" เป็นพุทธเจ้าองค์เดียวในกัลป์นั้น ต่อไปในอนาคตอันไกลโพ้น

คำบูชา พระอุปคุต หรือ พระบัวเข็ม

คำบูชา พระอุปคุต หรือ พระบัวเข็มการตั้งบูชา
นิยมการตั้งบูชาบนฐานรองรับ อยู่กลางภาชนะใส่น้ำ เป็นการจำลองคล้ายกับท่านจำพรรษาอยู่ในมหาสมุทร แล้วใช้ดอกมะลิลอยในน้ำบูชา และต้องตั้งต่ำกว่าพระพุทธ เนื่องจากเป็นพระอรหันต์ สาวกของพระพุทธเจ้า
คำบูชา
พระอุปคุตอุปะคุตโต จะ มะหาเถโร สัมพุทเธนะ วิยากะโต มารัญจะ มาระพะลัญจะ โส อิทานิ มะหาเถโร นะมัสสิตะวา ปะติฎฐิโต อะหัง วันทามิ อิทาเนวะ อุปะคุตตัง จะ มาหาเถรัง ยัง ยัง อุปัททะวัง ชาตัง วิธัง เสติ อะเสสะโต มะหาลาภัง ภะวันตุเม ฯ หรือ (แบบย่อ) อุปะคุตโต จะ มะหาเถโร ยักขาเทวา นะระปูชิโต โสระโห ปัจจะ ยาทิมปิ มะหาลาภัง ภะวันตุเม ฯ
(เกิดโชคลาภและคุ้มกันภัยภิบัติอันตรายทั้งปวง)
คำบูชาพระมหาอุปคุต
นโม ๓ จบ
พระมหาอุปคุตโต พระมหาอุปคุตตัง จะมหาเถโร สัพเพชะนา พะหูชะนา อิถีชะนา มามังพุทธะจิตตัง จะมหาลาโภ พุทธะธัมโม จะมหาลาภัง พุทธะสังฆัง จะมหาสัจจัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม ฯอุปคุตตะ จะมหาเถโร สัพพะเสน่หาปุพชิโต โสระโห อุปะคุตะ ปัจจะยา ธิมะหิ อุตตะโม โหติ สัพพะทุกขะ สัพพะภะยะ สัพพะโรคะ พุทธา ธัมมา สังฆา อานุภาเวนะ วินาสสันติ ฯ
(นิยมสวดบูชาพระบัวเข็ม หรือ พระธาตุอุปคุต)
คำบูชาขอลาภพระอุปคุต
มหาอุปคุตโต จะมหาลาโภ พุทโธลาภัง สัพเพชะนา พะหูชะนา ราชาปุริโส อิถีโยมานัง นะโมโจรา เมตตาจิตตัง เอหิจิตติจิตตัง ปิยังมะมะ สะเทวะกัง สะพรหมมะกัง มะนุสสานัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม ฯเอหิจิตติ จิตตังพันธะนัง อุปะคุตะ จะมหาเถโร พุทธะสาวะกะ อานุภาเวนะ มาระวิชะยะ นิระภะยะ เตชะปุญณะตา จะเทวะตานัมปิ มะนุสสานันปิ เอหิจิตตัง ปิยังมะมะ อิมังกายะ พันธะนัง อะทิถามิ ปะอัยยิสสุตัง อุปัจสะอิ ฯ

วิธีสวดขอลาภให้จุดธูปเทียนบูชา พร้อมกับดอกไม้หอม เครื่องหอมน้ำหอมต่างๆ เทหยดใส่ในขันน้ำมนต์ ณ ที่บูชาพระในร้านค้าขาย หรืออาคารสำนักงาน แล้วอธิษฐานขอให้กลิ่นควันธูปเทียน ลมพัดไปทางไหน ของให้ดลใจผู้คนเข้ามาอุดหนุนตลอด ขอให้ดำเนินกิจการด้วยความราบรื่น มีความสำเร็จสมปรารถนาทุกประการ เมื่ออธิษฐานจุดธูปเทียนบูชาแล้ว ให้สวด นะโม ๓ จบ และสวดคำบูชาขอลาภพระอุปคุต ๑ จบ แล้วทำน้ำมนต์สวดด้วย คำบูชาขอลาภพระมหาอุปคุต อีก ๑ จบ เสร็จแล้ว เอาน้ำมนต์ประพรมร้านค้า และสินค้าในร้านค้า หรือทำธุรกิจ ก็ให้เอาน้ำมนต์ประพรมภายในสำนักงานและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำธุรกิจนั้นทั้งหมด

คาถาพระมหาอุปคุตผูกมาร
นโม ๓ จบ
มหาอุปคุตโต มหาอุปคุตตัง กายะพันทะนัง อมยิสะ พุทธังทะเถโร ธัมมังทะเถโร สังฆังทะเถโร ปะอัยยะสุตัง อุปัจสะอิ อิมังกายะพันทะนัง อะทิถามิ ฯ
(คาถาพระมหาอุปคุตผูกมาร มีอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์มาก เสกด้วยสายสิญจน์ทำเป็นมงคลสวมคอ หากปลุกเสกครบ ๑๐๘ ครั้งสามารถป้องกันภูตผีปีศาจทั้งปวง และป้องกันอุปัทวอันตรายต่างๆ ถ้าเสก ๓ - ๗ คาบ ผูกคอหรือคล้องคอคนถูกผีเจ้าเข้าสิง จะเจ็บปวดร้องครวญครางโหยหวยอย่างน่าเวทนา ถ้าจะให้ผีที่สิงอยู่ออกไป ให้ถอดหรือแก้ด้ายผูกคอออก แล้วเอาด้ายนี้ตีปัดตามตัวคนที่ถูกผีสิงอยู่ ผีจะอยู่ไม่ได้จะเผ่นออก และไม่กล้ากลับมารบกวนคนในบ้านอีก และยังมีการปลุกเสกในทางพิชิตโรคาพาธได้วิเศษนัก)

คำบูชาพระบัวเข็ม
นโม ๓ จบ
กิจจะมาคะอุปคุตโต อะมะหาเถโร สัมพุทเธวิยาคะโต มาระรัญจะ โสอิทานิ จะมะหาเถโร นะมัดปะสิทตะวาปะ ถิติโกอหัง วันทามิ พาเนวะอุปคุตตัง จะมะ หาเถรัง ยังยังอุปัทธะวังชาติ วิทังเสนติ อะเสสะโต นโมพุทธายะพระบัวเข็มจะมะหาเถโร สัพพะลาภังภะวันตุเม อิติปิโสภะคะวา พุทโธชัยโย ธัมโมชัยโย สังโฆชัยโย เมตตา ฉิมพาลีจะมะหา เถโร สัพพะลาภัง ตะวันตุเม ฯชัยยะตัง ปัตถะพีตับภัง สามินโท โสราชาปูเชมิ ฯ

หรือจิตติจิตติ มิตติเอหิมะมะ อุปปะคุตโต จะมะหาเถโร นานาปาระมิ สัมมะปัณโน อิติปิโสภะคะวา มะอะอุเมตตา จะมะหาราชา สัพพะสะเนหา จะปูชิตา สัพพะทุกขัง มะหาลาภัง สัพพะโกพัง วินาสสันติ