วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สั่งไก่วันตรุษจีน...บาปไหม


สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

ถาม : อย่างกรณีที่วันตรุษจีนเวลาถ้าเราซื้อเป็ดซื้อไก่ ผิดศีลข้อ ๑ อยู่แล้ว แต่กรณีที่เรารู้ว่าร้านนี้เขาขายเป็ดขายไก่วันตรุษจีนอย่างนี้ เราไปสั่งเขา ๆ ก็ไปซื้อของเขามาเอง เราจะบาปไหมคะ ?

ตอบ: ไม่ต้องเสียเวลาสั่งหรอก ไปถึงมันก็มีรออยู่บานเลย ถามว่าบาปไหม ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังไม่ห้ามเลย ท่านบอกว่าถ้าเป็นปวัตตมังสะ คือเนื้อที่เขาขายเป็นปกติอยู่แล้ว ภิกษุฉันได้เพราะถึงเวลาเราไม่ได้ซื้อเขาก็ฆ่าอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นอุทสมังสะ คือเขาเจาะจงฆ่าเพื่อเรา ท่านบอกว่าถ้ารู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าเห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้ารังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเราปรับทุกคำที่กินอันนี้ของพระถ้าของฆราวาสเบากว่าเยอะ เราอย่าไปสั่งก็แล้วกันถึงเวลาตรุษสารทวางขายบานเบอะอยู่แล้ว ไปซื้อร้านไหนก็ได้ที่เขาเชือดไว้เรียบร้อยแล้ว มีอยู่ปีหนึ่งอยากรู้ว่าตรุษสารทแต่ละปี สัตว์จะตายมากเท่าไหร่ ก็ตั้งใจไปดูที่ตำหนักพระยายม เจ้าประคุณเถอะไม่ต้องนับกันเลยเป็นล้าน และที่แปลกใจมากก็คือมีวัวเยอะมาก มีวัวมีแพะเยอะมาก เอ๊ะ! เราก็แปลกใจวัวกับแพะมันเกี่ยวอะไรกับตรุษจีนว่ะ ต้องมาตายกับเขาด้วย ปรากฎว่าจริง ๆ แล้วมีคนจีนอยู่จำนวนมหาศาลที่เขากินวัวกินแพะเป็นปกติ พวกนี้จะอยู่ด้านมณฑลซินเกียงของจีน มณฑลซินเกียงใหญ่ประมาณ ๕ เท่าของประเทศไทย และ ๕ เท่าของประเทศไทยคนจะมีสักเท่าไหร่ ตีเสียว่าคนมี ๕ เท่าด้วย ก็คงประมาณ ๓๐๐ ล้านคน และมณฑลซินเกียงจะเป็นพวกเผ่าที่นับถืออิสลาม พวกเขาจะกินวัวกินแพะกินแกะเป็นปกติอยู่แล้ว แต่คราวนี้ตรุษสารทก็เยอะหน่อย ตอนแรกเห็นแล้วงงมากมันมีวัวมีแพะได้อย่างไร คนจีนเขาไม่กินวัวเราก็รู้ ส่วนใหญ่นับถือเจ้าแม่กวนอิมใช่ไหม ที่ไหนได้ฟาดกันเพลินเลย

นินทานั้นไม่มีโทษ...แก่ผู้ถูกนินทาเลย


ที่มา : การบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่ : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

นินทานั้นไม่มีโทษ...แก่ผู้ถูกนินทาเลยผู้ถูกนินทาพึงมีเหตุผลคำนินทาใดๆ ไม่อาจทำคนดีให้เป็นคนไม่ดีไปได้

คนจะดีก็เพราะกรรม คนจะเลวก็เพราะกรรม หาใช่จะดีเพราะสรรเสริญ หรือจะเลวเพราะนินทาก็หาไม่

ควรถือความจริงนี้เป็นสำคัญ และอย่าทำหรือไม่ทำอะไรเพราะกลัวนินทาหรือเพราะปรารถนาสรรเสริญ

อย่าทำอะไรก็ตามทุกอย่างที่แม้เพียงสงสัยว่าเป็นกรรมไม่ดี แต่จงทำอะไรก็ตามทุกอย่างที่พิจารณาแล้วตระหนักแน่ชัดว่าเป็นกรรมดีเท่ากัน

แม้ว่าการทำกรรมดีจะมีผู้นินทานินทานั้นไม่มีโทษแก่ผู้ถูกนินทาเลย ถ้าผู้ถูกนินทาไม่รับ คือไม่ตอบ เช่นเดียวกับผู้ถูกด่าไม่ด่าตอบ ผู้ถูกขู่ไม่ขู่ตอบ ผู้ถูกชวนวิวาทไม่วิวาทตอบ แต่คำนินทาว่าร้ายทั้งจะตกเป็นของผู้นินทาทั้งหมด ผู้นินทาคือผู้ทำกรรม ซึ่งเป็นกรรมไม่ดี ไม่ว่าผู้ถูกนินทาจะรับหรือไม่รับก็ตาม ผู้นินทาย่อมได้รับผลไม่ดีแห่งกรรมไม่ดีของเขาอย่างแน่นอนดังนั้นแม้เมื่อถูกนินทาแล้ว ก็ให้คิดว่าผู้นินทาเราได้รับการตอบแทนแล้ว คือได้รับผลของกรรมไม่ดี ซึ่งจะส่งผลให้ปรากฏช้าหรือเร็วเท่านั้น

ผลของกรรมไม่ดีนั้นแหละได้ตอบแทนเขาผู้นินทาแล้ว เราไม่มีความจำเป็นต้องตอบแทนแต่อย่างใดความเชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรมมีคุณอย่างที่สุด

ผู้ใดทำกรรมไว้จักได้รับผลของกรรมนั้น ความเชื่อเช่นนี้จักทำให้ไม่คิดร้ายตอบผู้คิดร้าย เป็นการระงับเวรภัยไม่ให้เกิดแก่ตน เป็นการป้องกันตนมิให้ทำกรรมไม่ดี ทั้งทางกายวาจาและใจ โดยมุ่งให้เป็นการแก้แค้นตอบแทน ผลจักเป็นความสงบสุขแก่ตนและแก่ผู้อื่นด้วย

พระบรมสารีริกธาตุ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ




"พระบรมสารีริกธาตุ" เป็น "ธาตุวิเศษ" เป็นปูชนียวัตถุพิเศษสุด ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ มีอานุภาพเป็นที่อัศจรรย์ ด้วยบังเกิดมาแต่ พระพุทธสรีระของพระพุทธองค์โดยตรง"พระบรมสารีริกธาตุ" จึงนับเป็นมงคลวัตถุอันสูงสุด ที่มนุษย์ เทวดา พรหม กราบสักการะบูชาด้วยความเคารพอย่างสูงสุดพระบรมสารีริกธาตุ ถ้ามีแล้วไม่ควรเปิดดูบ่อย บางครั้งท่านเสด็จไปที่อื่นบางครั้งท่านก็มาเยอะ ไม่แน่หรอก
ตามตำนานโบราณ ได้กล่าวว่ามีพระบรมสารีริกธาตุที่สำคัญ ๗ พระองค์ที่ได้อัญเชิญไปสักการะบูชาใน ๓ โลกได้แก่


๑. แดนพรหมโลก อัญเชิญ "พระธาตุรากขวัญ เบื้องขวา" ไปสักการะบูชา


๒. แดนเทวโลก ท้าวสักกะเทวราช อัญเชิญ "พระเขี้ยวแก้ว เบื้องขวาบน" ไปสักการะบูชา ณ พระจุฬามณีเจดีย์สถาน


๓. แดนนาคพิภพ จัดอยู่ในแดนเทวโลก อัญเชิญ "พระเขี้ยวแก้วซ้ายล่าง" ไปสักการะบูชา ประดิษฐาน ณ พระมหาเจดีย์ในนาคพิภพ


๔. แดนมนุษย์โลก มีพระบรมสารีริกธาตุองค์สำคัญ สักการะบูชาหลายประเทศหลายสถานที่ สำหรับประเทศไทย "พระรากขวัญ เบื้องซ้าย" และพระบรมสารีริกธาตุส่วนอื่นๆ หลังจากพุทธปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปเถระพร้อมพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ อัญเชิญเหาะมาทางอากาศ นำมามอบแด่พระเจ้าอุชุตราช ตามที่พระพุทธองค์ทรงมีพระบัญชาไว้ก่อนปรินิพพาน พระเจ้าอชุตราช ได้ทำการสักการะบูชาอย่างยิ่งใหญ่ สร้างเจดีย์ทองคำและอัญเชิญประดิษฐาน ณ พระมหาเจดีย์บนยอดเขาต่อมาพระราชโอรสของพระเจ้าอชุตราช คือพระเจ้ามังรายมหาราช ได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากพระอรหันต์ ก็สร้างพระมหาเจดีย์ติดกับของพระราชบิดา มีการบูชากันอย่างยิ่งใหญ่ ส่วนหนึ่งที่เป็นสัญญลักษณ์ และเป็นชื่อดอยมาจนถึงปัจจุบัน คือการบูชาด้วยธงที่ใหญ่และยาวมาก จนได้ชื่อว่า "พระบรมธาตุดอยตุง"


พระบรมสารีริกธาตุที่สำคัญ ที่เหลืออีก ๓ พระองค์ได้แก่ "พระอุณหิส" ประดิษฐานอยู่ในพระเจดีย์เมืองโยนกบุรี และทรงมีพุทธทำนายว่าดินแดนแห่งนี้(ประเทศไทย) จะสืบทอดพระพุทธศาสนาครบ ๕๐๐๐ ปี เป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก


อีกพระองค์คือ "พระเขี้ยวแก้ว ขวาล่าง" ประดิษฐาน ณ เกาะลังกา


"พระเขี้ยวแก้ว ซ้ายบน" ประดิษฐาน ณ เมืองคันธาระต่อมามีการอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ประเทศจีน สำหรับท่านได้ได้พระบรมสารีริกธาตุไปสักการะบูชา ควรจะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์มีความเคารพในพระรัตนตรัยด้วยความจริงใจ นึกไว้เสมอว่าชีวิตมีความตายเป็นที่สุดเราอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ จะได้ไม่ประมาทในชีวิต รีบเร่งทำแต่ความดี ท่านจะมีแต่ความสุขความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมพระคาถาบูชาพระบรมสารีริกธาตุตั้งนะโม ๓ จบ แล้วสวดบทบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ต่อจากนั้นสวดบท พระพุทธะชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ) จบแล้วสวดพระคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า ๙ จบหรือเท่าอายุก็ได้ ตามกำลังศรัทธา"อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนาพุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ"


คำนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ


ท่านที่มีจิตศรัทธานำไปสวดบูชาพระบรมสารีริกธาตุเป็นประจำก็จะเป็นสิริมงคล ต่อท่านและครอบครัวครับ* อิติปิโสภะคะว่า ลูกขอกราบบูชา คุณพระรัตนตรัยยกกรวันทา นอบน้อมบูชา ด้วยกาย วาจา ใจมือลูกทั้งสิบนิ้ว ยกเหนือหว่างคิ้ว ต่างธูปเทียนทองวงพักตร์โสภา ต่างมาลากรอง ดวงเนตรทั้งสอง ต่างประทีปถวายผมเผ้าเกล้าเกศ ต่างปทุมเมศ บัวทองพรรณรายเบ็ญจางคประดิษฐ์ กราบด้วยดวงจิต นอบน้อมบูชา* พระบรมธาตุ พระโลกนาถ อรหันตสัมมาทั้งสามขนาด โอภาสโสภา ทั้งหมดคณนาสิบหกทะนาน* พระธาตุขนาดใหญ่ สีทองอุไร ทรงพรรณสัณฐานเท่าเมล็ดถั่วหัก ตักตวงประมาณ ได้ห้าทะนาน ทองคำพอดี* พระธาตุขนาดกลาง ทรงสีสรรพางค์ แก้วผลึกมณีเท่าเมล็ดข้าวสารหัก ประจักษ์รัศมี ประมาณมวลมี อยุ่ห้าทะนาน* ขนาดน้อยพระธาตุ เท่าเมล็ดผักกาด โอภาสสัณฐานสีดอกพิกุล มนูญญะการ มีอยู่ประมาณหกทะนานพอดี* พระธาตุน้อยใหญ่ สถิตอยู่ในองค์พระเจดีย์ ทั่วโลกธาตุ โอภาสรัสมี ลูกขออัญชลี เคารพบูชา* พระธาตุพิเศษ เจ็ดองค์ทรงเดช ทรงคุณเหลือคณาอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เทพพิทักษ์รักษาลูกขอบูชา วันทาเป็นอาจิณ* หนึ่งพระรากขวัญ เบื้องขวาสำคัญ อยู่ชั้นพรหมมินทร์มวลพรหมโสฬส ประณตนิจสิน บูชาเป็นอาจินต์ พร้อมด้วยกายใจ* สองพระรากขวัญ เบื้องซ้ายสำคัญ นั้นอยู่เมืองไทยพระมหากัสสปะ พร้อมพระเถระ ห้าร้อยพระองค์อัญเชิญเหาะมา ตามพุทธประสงค์ นำมอบแด่องค์อชุตราชราชาทรงฉลองสมโภช บรรจุด้วยโกศทองคำบูชา สร้างเจดีย์ถวาย พระบรมศาดา เรียกขานกันต่อมาว่า พระธาตุดอยตุง* สามพระอุณหิส สถิตร่วมใน เจดีย์อุไร เมืองโยนกบุรีทรงพุทธทำนาย ถิ่นไทยแดนนี้ รุ่งเรืองเจริญดี มีความสมบูรณ์สืบทอดศาสนา ขององค์พระศาสดา ครบห้าพันปี* สี่พระเขี้ยวแก้ว ขวาบนพราวแพรว โอภาสรัศมีอยู่ดาวดึงส์สวรรค์ มหันตเจดีย์ พระจุฬามณี ทวยเทพบูชา* ห้าพระเขี้ยวแก้ว ขวาล่างพราวเพรว โอภาสไพศาลสถิตย์เกาะแก้ว ลังกาโอฬาร เป็นที่สักการของประชากร* หกพระเขี้ยวแก้ว ซ้ายบนพราวเพรว เพริดพริ้งบวรสถิตย์คันธาระ วลัยนคร ชุมชนนิกร นอบน้อมบูชา* เจ็ดพระเขี้ยวแก้ว ซ้ายล่างพราวเพรว รัศมีโอฬารสถิตพิภพ เมืองนาคบาดาล ทุกเวลากาล นาคน้อมบูชา* พระธาตุสรรเพชร เจ็ดองค์พิเศษ นิเทศพรรณาทรงคุณสูงสุด มนุษย์เทวดา พากันบูชา เคารพนิรันดร์* ด้วยเดชบูชา พระธาตุพระสัมมา สัมพุทธภควันต์ขอให้สิ้นทุกข์ เป็นสุขนิรันดร์ สู่แดนพระนิพพาน ในชาตินี้ เทอญ.* อหังวันทามิ ธาตุโย อหังวันทามิ สัพพะโส นิพพานะปัจจโย โหตุ *

หลวงปู่สุภา กันตสีโล พบพระอรหันต์ที่ถ้ำจุงจิง


คืนหนึ่ง ขณะที่ท่านจำวัดอยู่ที่ที่ท่านได้ทำการก่อสร้างสะพาน ท่านก็ได้เกิดนิมิตประหลาด ท่านนิมิตไปว่า มีชีปะขาว หน้าตามีบุญ มีแสงสว่างออกจากตัว คล้ายมีแสงไฟกระจายอยู่ด้านหลัง ชีปะขาวมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าท่าน แล้วกล่าวกับท่านว่า“เมื่อสะพานเสร็จแล้ว ท่านพึงจะละทิ้งเอาไว้ระยะหนึ่งก่อน ออกธุดงค์ไปยังโคราชก่อน แล้วตัดทางออกไปอุบลราชธานี อย่าพึงรีบร้อนและลังเล เมื่อพักผ่อนอิริยาบถพอสมควรแล้ว ท่านก็ข้ามไปฝั่งลาวเลย....”เส้นทางที่ชีปะขาวบอก คือข้ามจากอุบลราชธานีทางช่องเม็ก สู่แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว เดินตามเส้นทางป่าที่เชื่อมจำปาศักดิ์กับเมืองปากเซ ด้วยเป็นเส้นทางที่วิเวกและสามารถหลีกพ้นการรบกวนของผู้คนที่อาจจะทำให้หลวงปู่ต้องพักช่วยชาวบ้านเป็นระยะ ๆ หมดโอกาสจะไปยังสถานที่ที่ต้องการจะไปได้ หลวงปู่สุภาเดินทางพร้อมเครื่องบริขารธุดงค์ ตรงไปยังปากเซ สอบถามเส้นทางไปยังเมืองเซโปน ซึ่งได้ใช้เส้นทางป่าเหมือนที่มาจากนครจำปาศักดิ์ ผจญความยากลำบากและเภทภัยต่าง ๆ ตลอดเส้นทางเพราะตอนนั้น ป่าแถบนั้นชุกชุมไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บและภูตผีปีศาจ จากเซโปน สอบถามเส้นทางไปยังเมืองวัง เส้นทางช่วงนี้วิบากยิ่ง แต่หลวงปู่สุภาก็ไม่ย่อท้อ เพราะมีชีปะขาวมานิมิตของเหตุอยู่เสมอตลอดทางชีปะขาวมาปรากฏในนิมิตอยู่เสมอว่า ถ้ำจุงจิง คือสถานที่ที่ท่านจะต้องเดินทางไปให้ถึง ไปให้ตลอด ที่นั่นคือจุดหมายปลายทาง หลวงปู่สุภาจึงมีพลังใจและรุดหน้าเดินทางไปยังเมืองวัง และเดินทางต่อไปยังเมืองอ่างคำ อันป่าแถบนั้นยากที่จะมีผู้ใดบุกเข้าไปได้ ชาวบ้านบอกชัดเจนว่า พระธุดงค์หลายต่อหลายรูป ถามหาทางแล้วไม่เคยกลับออกมาอีกเลย และหลายคนห้ามหลวงปู่สุภาด้วยคำชาวบ้านง่าย ๆ ว่า“อย่าเอาร่างกายไปเป็นเหยื่อสัตว์ร้ายและไข้ป่า ตลอดจนภูตผีปีศาจเลย แม้พรานที่ว่าแก่วิชา ก็ยังต้องตามไปเอาศพกลับมาเผาเพื่อส่งวิญญาณ เมื่อไปพบสภาพศพดูทุเรศเป็นที่สุด”จากเมืองวังไปยังเมืองอ่างคำ หลวงปู่สุภาต้องผจญกับอาถรรพ์ต่าง ๆ นานาประการ หากแต่ได้วิชาที่เล่าเรียนมาแต่ต้น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และธุดงควัตรอันบริสุทธิ์ของท่าน แก้ไขสถานการณ์จนรอดออกมาจากป่า บรรลุถึงเมืองอัตปือแสนปาง ที่นั่นหลวงปู่สุภามิอาจหาเส้นทางที่เข้าไปยังจุดที่จะถึงถ้ำจุงจิงได้ ที่สุดชีปะขาวต้องมานิมิตบอกท่านว่า มีคนพวกเดียวเท่านั้นที่จะพาหลวงปู่สุภาไปได้คือ “พวกข่า” พวก “ข่า” เป็นพวกพรานป่าที่ชำนาญไพร และชำนาญด้านเส้นทางที่จะไปยังถ้ำจุงจิง หลวงปู่สุภาเดินทางมาจนถึงบ้านหนองไก่โห่ อันเป็นชุมชนของชาวข่าที่น้อยคนนักจะมาถึงได้ พวกข่าพบหลวงปู่สุภาแล้วรู้สึกแปลกใจ ถามว่ารอดชีวิตจากป่าดงดิบ ดงดิบดำได้อย่างไร หลวงปู่สุภาจึงบอกวัตถุประสงค์ที่จะไปถ้ำจุงจิงแก่ชาวข่า เมื่อได้ยินดังนั้น ชาวข่าก็บอกกับท่านว่า“ถ้ำแห่งนั้นเป็นถ้ำอาถรรพ์ ไม่มีใครอยู่ได้ แม้แต่เฉียดเข้าไป ก็ถูกอาถรรพ์เล่นงานเอาจนตาย หรือเฉียดตาย แต่หากว่าท่านจะไป ก็จะนำทางให้ จะนำทางเพียงขึ้นไปที่ปากถ้ำเท่านั้น หลัวจากนั้น ให้หลวงปู่ให้ค่าจ้างเขาด้วยหน่อทองคำ”หลวงปู่สุภาจึงบอกกับพวกข่า “เราเป็นพระธุดงค์ ไม่มีทองคำหรือหน่อไม้ทองแต่ประการใดที่จะให้เป็นค่าแรง บอกทางด้วยปากเปล่าก็ได้ จะเดินไปเอง”พวกข่าจึงบอกกับหลวงปู่สุภาว่า“สะพานที่ทอดข้ามจากหนองไก่โห่ ไปยังเส้นทางเขาจุงจิง มีต้นไม้สีทองอุไรขึ้นอยู่มากมาย หากมีวิชาอาคมเด็ดยอดให้ขาดลงมา ทันทีที่ขาดใส่มือ ก็จะกลายสภาพเป็นหน่อทองคำทันที ขอหน่อนั้นให้พวกกระผม จะได้รอจนท่านกลับมา”หลวงปู่สุภาจึงรับปาก เขาจุงจิงนั้นเป็นเขตแดนติดต่อกันระหว่าพระราชอาณาจักรลาวกับดินแดนของเวียดนาม หลวงปู่สุภาจึงข้ามสะพานไปอีกฟากหนึ่งจึงพบต้นไม้ที่ชาวข่าบอกให้ฟัง ความจริงนั้นหลวงปู่สุภาเล่าว่า“ไม่ใช่ต้นไม้ต้นไร่อะไรหรอก เป็นหน่องอกจากดิน สูงคืบหนึ่งบ้าง หนึ่งศอกบ้าง สองศอกบ้าง มีสีเหลืองเหมือนทอง เวลาต้องแสงแดดก็จะเปล่งประกายงดงามจับตายิ่งนัก พวกข่าต้องการมากทีเดียว”เมื่อเดินผ่านเข้าไป ท่านได้ระลึกอยู่ ๒ อย่าง คือ-ประการแรก ได้รับปากกับชาวข่าไว้แล้วเรื่องให้หน่อไม้ทองเป็นรางวัล-ประการที่สอง การจะหักหน่อทองคำเป็นอาบัติ ธุดงควัตรจะขาด และจะเกิดอันตราย จะต้องรักษาสองอย่างนี้ไว้ในเวลาเดียวกันหลวงปู่เล่าว่า“เพ่งมองดูด้วยจิตอันเป็นอุเบกขา ไม่มีความโลภอยากได้ เมื่อจิตเป็นเอกคตาแล้ว จึงนึกอธิษฐานจิตอย่างแน่วแน่ว่า ขอเทพยดาอารักษ์ที่รักษาสถานที่นี้อยู่ ด้วยอาตมาเดินทางมาด้วยนิมิตจิต ต้องการเพียงเล่าเรียนศึกษาแสวงหาทางนิพพาน แต่ได้รับปากชาวบ้านว่าจะให้หน่อไม้ทอง หากมิมีของให้พวกเขา ธุดงควัตรของอาตมาก็จะบกพร่องและเกิดอันตราย ขอเทพยดาได้เมตตาให้หน่อทองแก่อาตมาด้วยเถิด”ทันใดนั้นก็มีเสียงซู่ซ่า ต้นไม้ทองคำก็สั่นไหวไปมา และหลายต้นโน้มยอดเข้ามาทางที่ท่านเดินไปและหักกระเด็นออกมาเรี่ยรายอยู่กับพื้นเป็นจำนวนมาก โดยที่ท่านไม่ต้องออกแรงเด็ดหรือทำการอย่างใดให้ต้องอาบัติ และเมื่อยอดตกหักถึงพื้น ก็กลายเป็นหน่อทองคำจริง ๆ เหมือนที่พวกข่าเล่าให้ฟัง เมื่อเห็นว่าได้หน่อทองคำพอสมควรแล้ว หลวงปู่สุภาจึงบอกกับชาวข่าว่า บัดนี้เราได้หน่อทองแล้ว ขอให้พากันไปเก็บ แต่ต้องนำท่านไปส่งที่ถ้ำจุงจิงก่อน หาไม่แล้ว อาจไม่ได้ทอง เพราะเป็นจิตอธิษฐานของท่านเอง พวกข่าจึงตามท่านไปเก็บหน่อทอง และจึงช่วยกันนำหลวงปู่สุภาไปส่งยังถ้ำจุงจิง และลากลับไปหมู่บ้านของเขา หลวงปู่สุภาปักกลดอยู่ทางขึ้นถ้ำ ชีปะขาวก็มานิมิตอีก คราวนี้มาบอกชัดเจนเลยว่า“บนถ้ำจุงจิง มีพระอรหันต์หลายรูป แต่ละรูปเจริญอิทธิบาท ๔ ประการ ดำรงสังขารมานับเป็นพันปี และจะดำรงต่อไปจนกว่าจะพบพระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสรู้ และเมื่อได้รับฟังพระธรรมจากท่านพระศรีอาริยเมตตรัยแล้วจึงจะละสังขารไป ท่านจะได้พบด้วยตัวของท่านเองนั่นแหละ”หลวงปู่สุภาได้ขึ้นไปจำวัดอยู่บนถ้ำจุงจิงเป็นคืนแรก การขึ้นสู่ถ้ำจุงจิงนั้นยากลำบาก ต้องป่ายปีนไปตามซอกหิน จนได้ขึ้นไปสู่ปากถ้ำ ซึ่งมีแต่หมอกควันปกคลุมอยู่ แสงสว่างจากภายในไม่มี จากภายนอกก็เข้าไปไม่ได้ ต้องอาศัยเทียนนำทาง เมื่อเข้าไปแล้ว เหมือนตนเองอยู่ในเมืองลับแล คือไม่รู้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน เข้าวันใหม่ หลวงปู่สุภาจึงออกมานอกถ้ำ ที่หน้าถ้ำ หมอกได้สลายไปหมดแล้ว เห็นภูมิทัศน์ได้ถนัดตา มองขึ้นไปด้านบน จะเห็นมียอดเขาและถ้ำอีกมากมาย แต่ไร้เส้นทางขึ้น เป็นหน้าผาล้วน ๆ ไม่มีก้อนหินและทางขึ้นไปได้ จึงได้แต่คิดว่า เราจะได้พบพระอาจารย์หรือพระอรหันต์ได้อย่างไร พอคิดแวบขึ้นมา มองขึ้นไปข้างบนก็เห็นสีเหลืองคล้ายจีวร เลื่อนลงมาจากปากถ้ำด้านบน รวดเร็วมากจนมองแทบไม่ทัน มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อสีเหลือง ๆ นั้น มายืนอยู่ตรงหน้า เป็นพระภิกษุที่มีผิดพรรณวรรณะผิดกับคนธรรมดาทั่วไป ครองผ้าแปลกไปกว่าที่หลวงปู่สุภาครองอยู่ แต่มีลักษณะคล้ายพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ให้สังเกตได้หลายประการ แล้วพระสงฆ์รูปนั้นก็กล่าวขึ้นว่า“ไม่ต้องแปลกใจหรอก การลงมาเมื่อกี้นี้เป็นเพียงการอธิษฐานจิตเท่านั้นแหละ เอาเป็นว่า มาได้อย่างไร และทำไมจึงต้องมาที่นี่ บอกมาให้ละเอียด”หลวงปู่สุภาเล่าให้ศิษย์ฟังว่า พระอรหันต์จริง ๆ จะไม่กล่าวพาดพิงถึงการสำแดงปาฏิหาริย์หรือปรากฏการณ์มหัศจรรย์ แต่จะพูดเลี่ยงไปมา ด้วยพระอรหันต์นั้น หากแม้แสดงตัวหรืออะไรก็ตามที่ให้บุคคลที่สองรู้ว่าตนเป็นอรหันต์ ต้องปาราชิก ฐานอวดอุตริมนุสธรรม แม้จะมีภูมิธรรมก็ตามที หลวงปู่สุภาจึงได้ตอบไปว่า“กระผมมาตามนิมิตที่ได้จากชีปะขาว จึงเดินทางมาจนถึงที่นี่ด้วยต้องการจะเล่าเรียนทางด้านวิปัสสนากรรมฐานที่สูงขึ้นกว่าที่ได้เรียนมา หากท่านมีเมตตาแล้ว ก็ช่วยสอนให้กับกระผมด้วยเถิด”พระรูปนั้นจึงกล่าวว่า ไม่ยากหรอก แต่ต้องเริ่มกันที่ การกำจัดสิ่งปฏิกูลออกจากตัวท่านก่อน อย่าลืมว่าท่านฉันภัตตาหารที่มีเนื้อสัตว์ปะปนอยู่ สิ่งเหล่านั้นปะปนอยู่ในตัวท่านมากมาย ต้องนอนลงบนใบตอง ทำจิตให้มั่นคง และต่อไปเราจะสวดเพื่อขัยไล่สิ่งที่เป็นคาวออกจากตัวท่านให้หมด เมื่อน้ำคาวออกหมดแล้วจึงจะสวมจีวรได้อีกครั้ง ระหว่างที่สวด จะต้องสวมแต่สบงเท่านั้น จีวรและอังสะต้องแยกออกไป ชำระล้างตัวแล้วจึงไปเรียนชีปะขาวหรือฤๅษีที่ไปนิมิตบอกท่านนั่นแหละ เรียนกับเขาด้านสมถะและด้านญาณโลกียะ ซึ่งสามารถแสดงฤทธิ์อภิญญา แต่นั่นไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่จะสามารถแสดงฤทธิ์ขึ้นไปข้างบนที่เห็นอยู่ได้ เพื่อพบพวกเรา พวกเราอยู่กันบนนั้น มีอายุวัฒนะด้วยอิทธิบาท ๔ ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทางสำแดงว่า จะสามารถดำรงขันธ์อยู่ได้นานตามที่ต้องการ เราจะอยู่จนพระศรีอาริยเมตตรัยลงมาตรัสรู้ และได้ฟังธรรมะจากท่านแล้วจึงจะละสังขารไปสู่นิพพานอันเป็นบรมสุข แต่ เอ๊ะ...“คุณยังมีภาระอยู่นี่ ยังทำอะไรไม่ได้หรอก ต้องกลับไปทำให้สำเร็จก่อนจะมาศึกษาเล่าเรียนได้ มันเป็นห่วงที่คอยขัดขวางการเล่าเรียนของคุณ กลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน”หลวงปู่สุภาจึงบอกกับพระภิกษุรูปนั้นว่า สะพานผมสร้างสำเร็จแล้ว ศาลาการเปรียญก็สำเร็จแล้ว ผมยังมีอะไรเป็นห่วงอีก พระภิกษุรูปนั้นจึงบอกว่า“สำเร็จแล้ว แต่คุณยังค้างชาวบ้านเขา ก็คุณบอกว่า จะทำการฉลองไง แล้วคุณไม่กลับไปฉลอง ก็เท่ากับคุณไม่ทำตามปากพูด เป็นมุสาวาท คุณกลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ก็แล้วกัน”พอสิ้นคำพูดนั้น ร่างของภิกษุรูปนั้นก็เลื่อนขึ้นสู่เบื้องบนเหมือนตอนที่ลงมาไม่มีผิด ท่านจึงต้องเดินทางย้อนกลับมาทางเดิม มาทำพิธีฉลองสะพานและสิ่งก่อสร้างในวัดเกาะสีคิ้ว ครั้นเตรียมตัวกลับไปใหม่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะมีพระมหาสมาน อยู่คณะ ๕ วัดหงส์รัตนาราม นิมนต์ให้ไปช่วยเป็นประธานปฏิสังขรณ์หมู่กุฏิและเสนาสนะในคณะ ๕ กว่าจะเสร็จกินเวลานาน และชีปะขาวก็มิได้มานิมิตอีกเลย เป็นอันว่าท่านไม่ได้กลับไปถ้ำจุงจิงอีกเลย ท่านเล่ามาถึงตอนนี้ก็บอกกับศิษย์ว่าจำไว้เลยว่า ทุกอย่างจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จอยู่ที่วาสนาบารมีแต่ละคน สำหรับท่าน ไม่มีวาสนาบารมีจะได้เล่าเรียนกับพระอาจารย์ที่ถ้ำจุงจิงเป็นแน่ จึงได้กลับไป”