วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คำอธิษฐานในการทำบุญในโอกาสต่างๆ


ตั้งนโม 3 จบ
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ
ข้าพเจ้า ขอตั้งจิต อธิษฐาน
ขอพบพาน พระพุทธ ศาสนา
ด้วยผลบุญ ตายไป ให้เกิดมา
พบศีลทาน ภาวนา ทุกชาติไป
เป็นมนุษย์ ได้คบหา กัลยาณมิตร
มีปัญญา รู้ถูกผิด จิตเลื่อมใส
ดำรงมั่น ศรัทธา พระรัตนตรัย
น้อมกายใจ เข้าถึง ซึ่งนิพพาน
เดินตามองค์ พระศาสดา อริยสัจจ์
ปฏิบัติ ตามมรรคา อรหันต์
อนาคา สกิทา โสดาบัน
พรหมจรรย์ จงสมหวัง ดั่งใจเทอญ
********************************************************************
ก.อุตตมปัญโญ
๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

***...พระคาถาแก้วสารพัดนึก หลวงปู่โต๊ะ...***

พระคาถาแก้วสารพัดนึก พระราชสังวราภิมณฑ์(หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวรรณโณ)
ฉบับพระวิโรจน์ญาณวงศ์ วัดประดู่ฉิมพลี
จัดดอกไม้ จุดธูปเทียนบูชาแล้วอธิษฐานจิตให้ผ่องใสเกิดสมาธิ
ตั้งนะโมสามจบ
ตามด้วยบทไตรสรณาคมน์
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
(คำสวด) นะโม เม สัพพะพุทธานัง
อุปปันนานัง มะเหสินัง
ตัณหังกะโร มะหาวีโร
เมธังกะโร มะหายะโส
สะระณังกะโร โลกะหิโต
ทีปังกะโร ชุตินธะโร
โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข
มังคะโล ปุริสาสะโภ
สุมะโน สุมะโน ธีโร
เรวะโต ระติวัฑฒะโน
โสภิโต คุณะสัมปันโน
อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม
ปะทุโม โลกะปัชโชโต
นาระโท วะระ สาระถี
ปะทุมุตตะโร สัตตะสาโร
สุเมโธ อัปปะฎิปุคคะโล
สุชาโต สัพพะ โลกัคโค
ปิยะทัสสี นะราสะโภ
อัตถะทัสสี การุณิโก
ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท
สิทธัตโถ อะสะโม โลเก
ติสโส จะ วาทะตัง วะโร
ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ
วิปัสสี จะ อะนูปะโม
สิขี สัพพะหิโต สัตถา
เวสสะภู สุขะทายะโก
กะกุสันโธ สัตถะวาโห
โกนาคะมะโน ระณัญชะโห
กัสสะโป สิริสัมปันโน
โคตะโม สักยะปุงคะโว
*พุทโธ สัพพัญญุตะญาโณ
มหาชนานุ กัมปะโก
ธัมโม โลกุตตะโร วะโร
สังโฆ มังคะผะลัฎโฐ จะ
อินทะสุวัณณะ ปารมี เถโร
อิจเจตัง ระตะนัตตะยัง
เอตัสสะ อานุภาเวนะ
สัพพะทุกขา อุปัททะวา
อันตะรายา จะ นัสสันตุ
ปุญญะลาภะ มะหาเตโช
สิทธิกิจจัง สิทธิลาโภ
สัพพะ โสตภี ภะวันตุเม ติ
* สวด ๓,๗ หรือ ๙ จบ
################################
ฉบับของวัดถ้ำสิงโตทอง (วัดหลวงปู่โต๊ะ) อ.จอมบึง จ.ราชบุรีจักดอกไม้ จุดธูป เทียน บูชา แล้วอธิษฐานจิตให้ผ่องใส เกิดสมาธิตั้งนะโม ๓ จบ ตามด้วย พุทธัง ธัมมัง สังฆัง คัจฉามิ

นะโม เม สัพพะพุทธานัง
อุปปันนานัง มะเหสินัง
ตัณหังกะโร มะหาวีโร
เมธังกะโร มะหายะโส
สะระณังกะโร โลกะหิโต
ทีปังกะโร ชุตินธะโร
โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข
มังคะโล ปุริสาสะโภ
สุมะโน สุมะโน ธีโร
เรวะโต ระติวัฑฒะโน
โสภิโต คุณะสัมปันโน
อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม
ปะทุโม โลกะปัชโชโต
นาระโท วะระ สาระถี
ประทุมุตตะโร สัตตะสาโร
สุเมโธ อัปปะฏิปุคคะโล
สุชาาโต สัพพะโลกัคโค
ปิยะทัสสี นะราสะโภ
อัตถะทัสสี การุณิโก
ธัมมะทัสสี ตะโมนุโธ
สิทธัตโถ อะสะโม โลเก
ติสโส จะ วะทะตัง วะโร
ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ
วิปัสสี จะ อะนูปะโม
ลิขี สัพพะหิโต สัตถา
เวสสะภู สุขะทายะโก
กะกุสันโธ สัตถะวาโห
โกนาคะมะโน ระณัญชะโห
กัสสะโป สิริสัมปันโน
โคตะโม สักยะปุงคะโว
ธัมโม โลกุตตะโร วะโร
สังโฆ มัคคะผะลัฏโฐ จะ
อินทะสุวัณณะ เถโร จะ
อิจเจตัง ระตะนัตตะยัง
เอตัสสะ อานุภาเวนะ
สัพพะทุกขา อุปัททะวา
อันตะรายา จะ นัสสันตุ
ปุญญะลาภะ มะหาเตโช
สิทธิกิจจัง สิทธิลาโภ
สัพพะ โสตถี ภะวันตุ เม ติ
สวด ๓ , ๗, หรื่อ ๙ จบพุทธศาสนสุภาษิต
อยากเป็นเศรษฐีมีสมบัติ
จงทำบุญให้ทาน
อยากเป็นคนสวยดุจนางงามจักรวาล
จงรักษาศีล
อยากเป็นผู้มียศยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน
จงเจริญสมาธิ
**********************************************

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สวรรค์ชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตสวัตตี



สวรรค์ชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตสวัตตี... สวรรค์ชั้นที่ ๖ อันเป็นชั้นสูงสุดในบรรดาสวรรค์ ชื่อ ปรนิมมิตสวัตตีมีวิมานทองทอง วิมานแก้ว วิมานเงิน เป็นปราสาทที่สง่าภูมิฐาน ตระหง่านอยู่ทั่วไปบนภาคพื้นที่ลาดด้วยแก้ว ๗ ประการ ประกอบด้วยสวนทิพย์อุทยานอันวิจิตร และสระโบกขรณีที่พักผ่อนหย่อนใจ อันยิ่งใหญ่โอฬาริกยิ่งกว่าชั้นใดทั้งหมด เทพเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ชั้นที่ ๖ นี้ มีคุณสมบัติพิเศษยิ่งกว่าเทพเจ้าบนสวรรค์ชั้นอื่น ๆ คือเสวยกามคุณอารมณ์โดยเทวดาอื่นรู้ความต้องการแล้วเนรมิตให้ กล่าวคือ เมื่อเกิดความต้องการ ไม่จำเป็นต้องบันดาลให้เป็นไปด้วยตนเอง จะมีเทวดาองค์อื่นรู้และเนรมิตให้โดยทันทีและเป็นสุขสมบัติที่ประเสริฐประณีต น่าประทับใจกว่าเทวดาชั้นอื่นใด จึงมีนามว่าสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตสวัตตี นอกจากสมบัติทิพย์และคุณสมบัติพิเศษต่าง ๆ ที่เทพเจ้าเหล่าชาวฟ้าอยู่ในชั้นที่ ๖ นี้ได้รับแล้ว ผู้ที่อยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ยังแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่ายด้วยกันคือ ฝ่ายเทวดา มีเทวาธิราชผู้ยิ่งใหญ่ นามว่า "ท้าวปรนิมมิตเทวราช" เป็นผู้ปกครองเหล่าเทพเจ้าทั้งหลาย ให้ได้รับความรื่นเริงสำราญโดยทั่วหน้า ฝ่ายมาร บนสวรรค์ชั้นนี้ มีหมู่มารผู้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ บังเกิดเสวยทิพยสมบัติอยู่ด้วยอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมี ท้าวปรนิมมิตสวัตตีมาราธิราช เป็นผู้ปกครองหมู่มารทั้งหลายให้ได้รับความสุขสำราญ ตามควรแต่บุญกรรมของตน อย่างไรก็ดี แม้ว่าบนสวรรค์ชั้นนี้จะมีถึง ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายเทวดา กับฝ่ายมาร ก็เป็นการแบ่งแยก โดยมีเขตแดนกั้นกันโดยเด็ดขาด แต่ละฝ่ายไม่สามารถจะไปมาหาสู่หรือไปรบกวนกันได้ไม่ ต่างฝ่ายต่างเสวยสุขสมบัติ ณ ทิพยวิมานของตนด้วยความสุข อันปราณีตยิ่งล้นกว่าสวรรค์ชั้นฟ้าอื่น ๆ
ท้าวปรนิมมิตสวัตตีมาราธิราช เป็นปัญหาที่น่าขบคิดว่า เหตุใดบนสวรรคค์ชั้นสูงสุดจึงมีมารมาบังเกิดร่วมชั้นกับเทวดาอย่างนี้ เพื่อให้ช่วยเป็นที่กระจ่างชัดสำหรับปัญหานี้ ขอนำเรื่องราวของท้าวปรนิมมิตตสวัตตีมาราธิราช มาเล่าสู่กันฟังดังต่อไปนี้ ท้าวปรนิมมิตสวัตตีมาราธิราช ผู้เป็นใหญ่ปกครองหมู่มารบนสวรรค์ชั้นที่ ๖ นี้ แท้ที่จริงเป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้บำเพ็ญบารมีมา เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตองค์หนึ่ง โดยสมัยพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสปะ พญามารผู้นี้เกิดเป็นมนุษย์ นามว่า โพธิ์อำมาตย์ ดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดี ของ พระเจ้ากิงกิสสะมหาราช เป็นที่ไว้วางพระทัยมาก และพระเจ้ากิงกิสสะมหาราชเอง เป็นผู้มีพระทัยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา วันหนึ่ง ทรงทราบว่าพระพุทธองค์ทรงเข้านิโรธสมาบัติ เสวยวิมุตติสุขอยู่ครบ ๗ วัน ณ ภายใต้ต้นไทรใหญ่ และใกล้จะออกจากนิโรธสมาบัติอยู่แล้ว ทรงดำริว่า "ขณะที่พระพุทธเจ้า เสด็จออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ ถ้าผู้ใดได้ถวายทาน จักบังเกิดผลานิสงส์ ผลบุญล้ำเลิศมาก บัดนี้เราจักถวายทานแด่พระองค์ โดยไม่ให้ใครอื่นเกี่ยวข้องด้วย" ครั้นแล้ว จึงประกาศแก่ชาวเมืองว่า "ถ้าคนใด ไปถวายทานแด่พระพุทธเจ้าก่อนเรา เราจักลงอาญาแก่ผู้นั้น" เมื่ออกประกาศดังนั้น ก็ให้กองรักษาการณ์ที่ใกล้ต้นไทรใหญ่ บริเวณที่พระพุทธองค์ทรงเข้านิโรธสมาบัติอยู่ หากผู้ใดล่วงละเมิดพระดำรัส ให้จับตัวประหารชีวิตเสียทันที โพธิ์อำมาตย์เสนาบดี แม้จะทราบประกาศของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราชดังนั้น ก็ยังมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะถวายทานแก่พระพุทธองค์ โดยไม่กลัวว่าจะถูกประหาร พอรุ่งเช้าเขาพร้อมด้วยภรรยาก็ถือไทยทานของตนรวม ๒ ห่อ ตรงไปยังบริเวณไทรใหญ่พวกทหารรักษาการณ์เห็นดังนั้นก็วิ่งออกมาบอกว่า "ท่านเสนาบดี ขอได้โปรดอย่าเข้าไปเลย พระเจ้าเหนือหัวสั่งห้าม มิให้ใครเข้าไปถวายทานแด่พระพุทธเจ้าก่อนพระองค์เป็นอันขาด มิฉะนั้นต้องถูกประหารชีวิต" เสนาบดีได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่า ถ้าเราจะแกล้งบอกแก่พวกทหารเหล่านี้ว่า พระเจ้าเหนือหัวให้เรามาอาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าไปในวัง ก็จะได้อยู่ แต่เราไม่ควรจะมดเท็จเช่นนั้น เพราะเราตั้งใจจะถวายทานแด่พระพุทธองค์ เราควรบอกตามความจริงแม้จักตายก็ช่างมันเถิด ครั้นแล้ว เสนาบดีบอกทหารเหล่านั้นไปว่า "ไม่ต้องห้ามเราหรอก เราจักเข้าไปถวายทานแด่พระพุทธองค์" "ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็มีความจำเป็นต้องจับท่านไปประหารชีวิต" ทหารรักษาการณ์ร้องบอกอีกครั้งหนึ่ง "ท่านเป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่ มีความชอบในแผ่นดินมาก อย่าคิดสั้นยังงี้เลย จงหลีกไปเสียเถอะท่าน" "เราตั้งใจแล้ว ต้องทำให้ได้ พวกเจ้าจะจับเราไปประหารชีวิตก็เอาซี เราไม่กลัวหรอก" เสนาบดีบอกเท่านั้นเอง เหล่าทหารก็กรูกันเข้าจับเสนาบดีมัดมือไพล่หลัง นำไปถวายพระราชาโดยไม่รอช้า พระเจ้ากิงกิสสะมหาราช เมื่อทราบว่าเสนาบดีของพระองค์ฝ่าฝืนเสียเอง ก็ทรงพิโรธยิ่ง รับสั่งให้นำตัวไปตัดศีรษะทันที ฝ่ายพระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระฌานว่า โพธิเสนาบดีมีศรัทธาแรงกล้า ยอมสละชีวิตเพื่อจะถวายทานแด่พระองค์ดังนั้น ก็ทรงพระกรุณาแก่เสนาบดีมาก จึงเนรมิตพระพุทธนิมิตให้สถิตแทนพระองค์ ในพระวิหารส่วนพระองค์เสด็จไป ณ สถานที่ประหารเสนาบดี โดยให้เห็นเฉพาะตัวเสนาบดีเท่านั้น "ดูก่อนเสนาบดี ท่านทำถูกแก้ว จงมีศรัทธามั่นเถิด อย่าได้อาลัยในชีวิต และไทยทานของท่านอยู่ที่ไหนจงถวายเราเถิด" เสนาบดีผู้น่าสงสาร เมื่อได้สดับพระดำรัสของพระพุทธองค์ดังนั้น ก็บังเกิดความเลื่อมใสสุดหัวใจ รีบนำเอาห่ออาหารของตน กับภรรยา น้อมเกล้าฯ เข้าถวายพระพุทธองค์โดยศรัทธาอย่างสุดซึ้ง และยังได้ตั้งความปรารถนาไว้ต่อพระบาทของพระองค์ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ ชีวิตของข้าพระองค์ได้สละแล้วครั้งนี้ ด้วยอำนาจแห่งผลทานครั้งนี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพระองค์ ได้เป็นพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับพระองค์ในอนาคตโน้นเถิด" พระกัสสปพุทธเจ้า ทรงมีพระกรุณายกพระหัตถ์ขึ้นลูบศรีษะเสนาบดี แล้วทรงพยากรณ์ว่า "ท่านปรารถนาสิ่งใด ขอสิ่งนั้นจงพลันสำเร็จเถิด ดูก่อนเสนาบดี สิ่งที่ท่านปรารถนานั้น ท่านจะได้รับผลสำเร็จ โดยอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เบื้องหน้าโน้น" จากนั้น... โพธิเสนาบดีก็ถูกประหารชีวิต ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต และจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต เวียนว่ายตายเกิดในวฏสงสารช้านาน มาในชาตินี้ได้บังเกิดเป็นพญามารในชั้นปรนิมมิตสวัตตี ด้วยอำนาจแห่งบุญกรรมที่ตนทำไว้ด้วย ในภายหลังมีจิตริษยาในพระพุทธโคดมของเรา ที่เสด็จมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนตน ทั้ง ๆ ที่ตนบำเพ็ญบารมีมามากพอสมควรเหมือนกัน จึงเฝ้าตามประจัญด้วยประการต่าง ๆ แต่มิได้ล่วงเกินทำบาปหนักแต่ประการใด
ต่อมา หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้วได้ ๒๐๐ ปีเศษ พระเจ้าธรรมาโศกราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งชมพูทวีป ทรงมีศรัทธาอุตสาหะ สร้างพระสถูปเจดีย์ถึงแปดหมื่นสี่พันองค์ เพื่อบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา เสร็จแล้วทรงปรารถนาจะทำการฉลองใหญ่ มีกำหนดถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ให้สมกับความตั้งใจของพระองค์ที่มีมาช้านาน และในการฉลองครั้งใหญ่นี้พระองค์ทรงเกรงว่า จะได้รับการรบกวนจากพญามาราธิราช ผู้มีฤทธิ์แรงกล้าและมีจิตริษยา ไม่อยากให้ศาสนาของพระพุทธโคดมเจริญรุ่งเรืองสืบไป พระเจ้าธรรมาโศกราชจึงอาราธนาพระภิกษุสงฆ์ ให้ช่วยป้องกันอันตรายที่จะเกิดจากพญามารครั้งนี้ ฝ่ายภิกษุทั้งหลายในสังฆมณฑล รู้ว่าตนเองไม่สามารถสู้พญามารได้ และมีพระเถระผู้ใหญ่องค์หนึ่งจำพระพุทธพยากรณ์ ไว้ว่า "มีภิกษุรูปหนึ่งนามว่า อุปคุตเถระ จักปราบมารให้ละพยศ แล้วจักปรารถนาพุทธภูมิ" กล่าวกันว่า พระอุปคุตเถระองค์นี้ มีปกติสันโดษอยู่องค์เดียว และชอบแผลงฤทธิ์ลงไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เนรมิตปราสาทล้วนแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ ประดิษฐานในท้องมหาสมุทร นั่งเหนือรัตนบัลลังก์ เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุขอยู่ในท้องมหาสมุทร เป็นเวลาหลายวัน กระทั่งวันพุธเพ็ญกลางเดือน จึงออกจากสมาบัติ เหาะขึ้นบิณฑบาตในโลกมนุษย์ครั้งหนึ่ง แล้วก็กลับลงไปเข้าฌานสมาบัติ อยู่ในห้วงมหาสมุทรเช่นนั้นตลอดเวลา และ...ครั้งนี้เอง พระอุปคุตเถระถูกพระภิกษุสองรูปผู้ได้อภิญญาสมาบัติ ชำแรกมหาสมุทรลงมาถึงตัวท่านแจ้งโทษว่า "ดูก่อนท่านอุปคุต ตัวท่านนี้มิได้อยู่ร่วมอุโบสถสังฆกรรมกับสงฆ์เลย มาอยู่หาความสบายแต่ผู้เดียวควรที่สงฆ์จะลงทัณฑกรรมแก่ท่าน และบัดนี้คำสั่งจากสงฆ์ให้นำมาถึงท่าน ให้ท่านจงเป็นธุระป้องกันพญามารอย่าให้รบกวนงาน ฉลองพระสถูปเจดีย์ของพระเจ้าธรรมาโศกราชได้" พระเถระน้อมศีรษะรับคำสั่งของสงฆ์ โดยมิได้โต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น ครั้นถึงวันเปิดงาน พระเจ้าธรรมาโศกราชเสด็จสู่ลานพระเจดีย์ และมีพระภิกษุสงห์เป็นจำนวนมากมาร่วมงานอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ขณะนั้นเอง พญาวสวัตตีมาร ผู้มีจิตริษยา อดใจไม่ได้ จึงลงมาจากสวรรค์ชั้นที่ ๖ แล้วบันดาลให้เกิดพายุใหญ่พัดมา หวังจะดับประทีปบูชา ซึ่งจุดสว่างไสวไปทั่วบริเวณงาน ฝ่าย พระอุปคุตเถระ ซึ่งคอยระวังอยู่ ครั้นเห็นเช่นนั้นก็บันดาลให้พายุใหญ่แห่งพญามารอันตรธานหายไปสิ้น "บ๊ะ! ใครวะมาบังอาจทำลายฤทธิ์ของข้า" พญามารตวาดลั่นขึ้นด้วยความเดือดดาล ครั้นเห็นพระอุปคุตเถระนั่งก้มหน้าอยู่บนธรรมาสน์หน้าอาสนสงฆ์ และเมื่อรู้ด้วยฤทธิ์ว่า พระเถระองค์นี้เองกล้าสู้เราจึงเปลี่ยนแผน แปลงร่างเป็นวัวกระทิงตัวใหญ่ เขาโง้งแหลมคมราวกับหอก พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ ตรงเข้าไปชนโรงพิธีให้แหลกลาญทันที พระเถระเห็นเช่นนั้น ก็มิได้รอช้า แปลงร่างเป็นเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวใหญ่ โจนเข้าตะปบเจ้าวัวกระทิงด้วยเล็กเท้าอันแหลมคมทันที เล่นเอาเจ้าวัวกระทิงชะงัก และหันกลับมาหมายขวิดเสือโคร่ง ทั้งวัวกระทิงและเสือโคร่งฟาดฟันกันเป็นพัลวันอยู่ไม่กี่น้ำ วัวกระทิงก็โดนเสือตะปบ ล้มลงกองภาคพื้นทำท่าจะตายมิตายแหล่ แต่... เพียงชั่วอึดใจ มันก็กลายเป็นพญานาคเจ็ดเศียรพ่นไฟเข้าใส่หน้าเสือโคร่งใหญ่อย่างดุร้าย หมายเอาไฟเผาผลาญเสือโคร่งให้ไหม้เกรียมไปในทันที เมื่อเห็นตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบดังนั้น เสือโคร่งก็รีบเปลี่ยนร่างกายเป็น พญาครุฑตัวใหญ่ โดยเข้าจิกคาบเอาหัวพญานาคลากไปอย่างไม่ปราณี เล่นเอาพญานาคร้องโอดโอยลั่น ต้องรีบกลายร่างเป็นยักษ์ใหญ่ นัยน์ตาพอง ถือกระบองทองแดงเท่าต้นตาล กวัดแกว่งเข้าทุบศีรษะพญาครุฑโดยไม่รั้งรอ พระเถระรีบเปลี่ยนร่างเป็นยักษ์ตัวใหญ่ ใหญ่ขึ้นไปกว่าพญามารสองเท่า ถือกระบองทองแดงขนาดใหญ่สองอันเข้าฟาดกระบาลพญามารอย่างหนัก และรวดเร็วราวกับจักรผัน สุดที่พญามารจะปิดป้องได้ทัน ต้องสิ้นฤทธิ์ยอมแพ้ กลับร่างเป็นพญามารดังเดิม พระเถระเห็นดังนั้น ก็กลับร่างเช่นเดียวกัน แลโดยไม่รอให้นาทีทองผ่านไป พระเถระผู้ทรงฤทธิ์จึงรีบเนรมิตร่างหมาเน่า กลิ่นฟุ้งเหม็นเต็มไปด้วยหนอ ขึ้นตัวหนึ่ง ดึงประคตจากเอวของท่านออกมาผูกร่างหมาเน่านั้น โยนไปคล้องคอพญามาร ให้บัดดล พร้อมทั้งสำทับว่า "ใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นพระอินทร์ หรือพรหม อย่าเอาหมาเน่าเนื้อออกจากคอพญามารได้" ว่าแล้วขับไล่พญามารไปให้พ้นจากที่นั้น พญามารผู้มีฤทธิ์ ถูกซากหมาเน่าคล้องคอก็หมดฤทธิ์เอาเสียจริง ๆ จักเอาออกเองก็ไม่ได้ เพราะเมื่อเอาทั้งสองต้องสายประคตที่คล้องคอทีไร ต้องมีไฟลุกขึ้นไหม้คอและไหม้มือทันที สุดจะแก้ไขด้วยตนเอง จึงเหาะไปหาท้าวมหาราชทั้งสี่ให้ช่วยก็ไร้ผล จึงเหาะต่อไปหาพระอินทร์ ท้าวยามา ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมิตเทวราช ตลอดจนท้าวสหัสบดีพรหม ก็ไม่มีใครสามารถจะช่วยได้ท่านเหล่านั้นได้แต่แนะนำว่า "พวกเราช่วยท่านไม่ได้หรอก เพราะพระเถระเป็นผู้มีฤทธิ์สูงยิ่ง ขอให้ท่านกลับไปขอขมาท่าน และขอความเมตตาให้ท่านช่วยแก้ให้ ด้วยตัวท่านเองดีกว่า" พญามารเมื่อได้ยินดังนั้น ก็จำเป็นจำใจต้องกลับไปหาพระเถระ อ้อนวอนให้ช่วยเอาซากหมาเน่าออกจากคอให้ "ขอท่านได้โปรดเวทนาข้าด้วยเถอะ ข้ายอมแพ้ท่านแล้ว" พญามารอ้อนวอน "ช่วยเอาหมาเน่าออกจากคอข้าด้วย" "ได้ซิ พญามาร" พระอุปคุตเถระตอบ "เชิญท่านตามเรามาทางนี้" ว่าพรางเดินนำหน้าพญามาร ไปยังภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง ดึงเอาร่างหมาเน่าออกจากคอพญามารโยนทิ้งลงเหว และพร้อมกันนั้น เนรมิตสายประคตเอวให้ยาวออกและให้พันคอพญามาร รวบรัดไว้กับภูเขาลูกนั้น อย่างแน่นหนา แล้วสำทับอีกว่า "ท่านจงอยู่ที่นี่ จนกว่าพระเจ้าธรรมาโศกราชจะฉลองสถูปเจดีย์ครบ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน สำเร็จเสร็จสิ้นไปก่อน" ว่าแล้วก็เดินจากไป โดยไม่เหลียวหลังหันมามองพญามารผู้น่าสงสารอีก พญามารผู้สิ้นฤทธิ์ ถูกมัดอยู่กับภูเขาลูกนั้น ยืนตากแดดกรำฝน ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสอยู่เป็นเวลานานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน และเมื่องานฉลองมหาสถูปของพระเจ้าธรรมาโศกราชสำเร็จลง พระอุปคุตเถระจึงกลับมาหาพญามาร โดยครั้งแรกแอบอยู่ห่าง ๆ เพื่อฟังเสียงพญามารว่าละพยศร้ายหรือยัง พญามารเองเมื่อจากทิพยวิมานอันบรมสุข มารัทุกขเวทนาเช่นนี้ ก็ละพยศร้ายในสันดาน หวนนึกถึงพระพุทธโคดม จึงกล่าวออกมาว่า "เมื่อพระองค์สถิตภายใต้ต้นมหาโพธิ์ ข้าพระองค์ข้างจักราวุธอันคมกล้าไป หมายจะปลงพระชนมชีพพระองค์ แต่จักรอันนั้นกลับกลายเป็นดอกไม้บูชาพระองค์ และแม้ข้าจะขว้างอาวุธอย่างอื่นไป ก็กลับกลายเป็นดอกไม้บูชาพระองค์ทั้งหมด คราวนั้น ข้าพ่ายแพ้แก่พระองค์ แต่พระองค์มิได้ลงโทษตอบข้าให้ได้รับความทรมานแต่ประการใด บัดนี้ สาวกของพระองค์ช่างมีจิตใจเหี้ยมโหดทำร้ายข้า ให้ข้าได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัสเหลือเกิน" พญามารยิ่งคิดยิ่งโศกศัลย์และโกรธา เอาบาทกระทืบภูเขาเสียงดังสนั่น และในที่สุด...ก็ระลึกถึงความปรารถนาของตนที่เคยตั้งไว้ ณ แทบพระบาทของพระกัสสปพุทธเจ้า เมื่อครั้งเกิดเป็นโพธิเสนาบดี ก็ให้สลดใจสำนักบาป ออกปากอุทานว่า "โอหนอ เราทำกรรมหนักจริง ๆ ด้วยความริษยาแท้ ๆเราจึงเลวร้ายขนาดนี้ เอาละต่อไปนี้เราขอละจิตริษยาทั้งมวล และขอตั้งมั่นอยู่ในคุณความดี ความเที่ยงธรรม ความกรุณาอันสูงสุด เพื่อจะได้เป็นพระพุทธเจ้า และเป็นที่พึ่งแกสัตว์ทั้งหลายทั้งมวลในอนาคต" เมื่อพญามารกล่าวจบ พระเถระก็แสดงกายให้ปรากฏ และตรงเข้าแก้มัดพญามารโดยทันที "ดูก่อนพญามาร ขอท่านยกโทษให้ข้าด้วย" พระเถระกล่าวขึ้น "การกระทำของข้าครั้งนี้ แม้จะทรมานท่าน แต่ก็เป็นประโยชน์ให้ท่านระลึกถึงพุทธภูมิที่ท่านเคยปรารถนาไว้ ตั้งแต่บัดนี้ไปท่านเป็นปูชนียบุคคลอบรมโพธิสัตว์ ที่ชาวโลกจะกราบไหว้บูชา" ต่อจากนั้นพระเถระได้ขอให้พญามารเนรมิตกายเป็นพระพุทธองค์ เพื่อจะได้เห็นเป็นพุทธานุสติบ้าง ซึ่งพญามารก็รับคำ แต่ขอร้องว่าเมื่อเห็นเขาเนรมิตกายเป็นพระพุทธองค์แล้ว อย่างหลงกราบไหว้เป็นอันขาด เพราะจะให้เขาบาปหนัก ครั้นแล้ว พญามารก็เนรมิตกายเป็นพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ และฉัพพรรณรังสี อันวิจิตร มีพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา แวดล้อมด้วย มหาสาวกทั้งหลายเป็นบริวารเสด็จเยื้องย่างด้วยพุทธลีลาอันงดงามยิ่ง พระเถระและพุทธบริษัทเห็นเช่นนั้น ก็เกิดความปีติยินดีสูงยิ่ง ถึงกับลืมตัว พร้อมกันถวายนมัสการด้วยเญจางคประดิษฐ์สักการะบูชาด้วยกันทั้งสิ้น เล่นเอาพญามารตกใจรีบกลับกลายร่างเดิม "ทำไมท่านลืมสัญญามาไหว้ข้าเล่า" พญามารท้วง พระอุปคุตกล่าว "พวกเรามิได้ไหว้ท่านหรอก เพียงแต่ไหว้สักการะบูชาพระพุทธเจ้าและพระสาวกต่างหาก" "แต่ข้าก็บาปหนักนะท่าน" "ไม่บาปหรอก ท่านได้ทำกุศลแก่พวกเราต่างหาก" พระเถระยืนยันในที่สุด จากนั้นพญามารก็กลับคืนสู่สวรรค์ ชั้นที่ ๖ วิมานของตน และนับแต่นั้นมาพญามารได้มีจิตอ่อนน้อมเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา หมดสิ้นน้ำใจริษยา และบำเพ็ญบารมีเพื่อพุทธภูมิต่อไปจนขณะนี้ พญามารจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่า "พระพุทธธรรมสามี" เป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวในกัลป์นั้น มีไม้รังเป็นที่ตรัสรู้ ในอนาคตกาลอีกไกลพ้น อายุของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เทวดาผู้สถิตเสวยทิพยสมบัติ ณ สวรรค์ชั้นที่ ๖ นี้ มีอายุนานถึง ๑๖๐๐๐ ปีทิพย์ หรือเก้าร้อยยี่สิบเอ็ดโกฏิหกล้านปี ในเมืองมนุษย์ บุญของผู้ที่จะมาเกิดในสวรรค์ชั้น ๖ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ต้องมีจิตบริสุทธิ์ มั่นอยู่ในศีล มีศรัทธาสูงส่ง หมั่นบริจาคทาน มีพรหมวิหารธรรมประจำใจ คิดเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ครั้นสิ้นชีพแล้ว จักบังเกิดในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี อันเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดแห่งนี้แล...

มารประจำพุทธศาสนา

มารประจำพุทธศาสนาแบ่งแยกเป็นประเภทต่างๆดังต่อไปนี้ครับ
๑) กิเลสมาร คือกิเลสของเราเอง คงเคยคิดกันมาบ้างว่าตัวคุณเหมือนมีคนสองคนรบกันอยู่ ฝ่ายหนึ่งอยากแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้พ้นทุกข์ อีกฝ่ายขี้เกียจหรือยังดื้อดึงหวงแหนต้นตอทุกข์เอาไว้ เช่นเห็นๆอยู่ว่าเป็นชู้แล้วจะร้อนใจ เล่นพนันแล้วจะหมดตัว แต่จนแล้วจนรอดก็อดไม่ได้สักที สรุปคือตัวเราในภาคที่ใฝ่ต่ำนั่นแหละ คือมารที่ติดตามตัวไปทุกฝีก้าว ว่าไปแล้วมารประเภทนี้น่ากลัวเหนือมารชนิดอื่นใด เพราะมันติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ แถมคนเราก็มักไม่รู้ตัว เพราะเอาแต่ตั้งท่าระวังมารแบบอื่น ไม่ได้ตั้งท่าระวังมารซึ่งเป็นอีกภาคหนึ่งของตัวเองเอาไว้ กิเลสมารนี่ดักทางไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทางเลยทีเดียว กะแค่งดเว้นความประพฤติมิชอบยังสละไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปคิดถึงการสละความหลงผิดระดับละเอียดกัน พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายมืดมนอยู่ด้วยกาม ถูกปกคลุมอยู่ด้วยตาข่ายคือตัณหา ถูกปกปิดด้วยเครื่องมุงคือตัณหา ถูกกิเลสมารและเทวปุตตมารผูกพันไว้แล้ว ต่างจึงต้องมุ่งไปสู่ชราและมรณะ เหมือนปลาที่ปากไซ เหมือนลูกโคที่ยังตามดื่มนมจากแม่โคไปเรื่อย (จากคำตรัสตรงนี้ ยืนยันให้เห็นว่ามารที่เป็นกิเลสในตัวเราก็ส่วนหนึ่ง มารที่เป็นเทวดานอกตัวเราก็อีกส่วนหนึ่ง แสดงแล้วว่าพระศาสดาท่านรับรองการมีอยู่ของมารที่เป็นเทวดา) แง่สังเกตสำคัญในข้อนี้ที่อยากชี้ให้เห็น คือพวกเราทุกคนถูกกิเลสปกปิดความจริงอันประเสริฐสูงสุดไว้ ถูกกล่อมประสาทให้อาลัยอาวรณ์ ยึดติดอยู่กับสิ่งที่ไม่ควรยึดติดไว้ ดังนั้นเมื่อถูกสะกิดให้รู้ตัวแล้ว ก็อาจสะดุ้งตื่น และเพียรพยายามหลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลสมารกันต่อไป แต่หากไม่รู้ตัว ก็ย่อมพึงใจที่จะอาลัยอาวรณ์เรื่อยเปื่อย นึกว่าอะไรๆก็ควรยึดมั่นถือมั่นไว้กับตัว หวังความทนอยู่เที่ยงแท้ถาวรของตัวตนหรือสมบัติพัสถานอันเป็นที่รักไปทั้งนั้น อีกแง่สังเกตหนึ่งเมื่อรู้จักกิเลสมาร คือเราจะไม่เห็นว่าเพศตรงข้าม เงินทอง บ้านเรือน รถยนต์ โรงหนัง เรือยอร์ช ฯลฯ เป็นมารขัดขวางทางไปสวรรค์นิพพาน แต่จะเห็นเพียงว่าสิ่งเหล่านั้นคือเครื่องล่อให้มารทำงาน ต่อไปจะโทษอะไรก็จะได้โทษตัวเองที่เป็นภาคมารก่อนโทษข้าวของไร้ชีวิตภายนอก
๒) ขันธมาร คือกายใจของเราเอง อย่างที่กล่าวไว้ว่าพุทธศาสนาเรามุ่งเอานิพพานเป็นที่สุด สิ่งใดขวางไม่ให้เห็นนิพพาน สิ่งใดหน่วงเหนี่ยวไว้ไม่ให้ถึงนิพพาน สิ่งนั้นจัดเป็นมาร ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสไว้ว่ากายใจนี้แหละคือมารชนิดหนึ่ง เพราะสัมผัสทางกายใจเป็นรากฐานของความอาลัย ไม่ชวนให้เกิดความยินดีในนิพพาน พระองค์ท่านตรัสสอนภิกษุสาวกให้พิจารณาว่ากายนี้ก็ดี สุขทุกข์ก็ดี ความหมายรู้หมายจำก็ดี เจตนาดีชั่วก็ดี ความรับรู้ต่างๆก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นมาร เพราะเมื่อสิ่งเหล่านี้มี จึงมีความตาย จึงมีโรค จึงมีภัยประการต่างๆ สรุปคือสิ่งเหล่านี้เป็นตัวทุกข์โดยตรง หากเห็นเช่นนี้ได้ ก็จัดเป็นความเห็นชอบทางพุทธศาสนาขั้นสูง หากคุณกำลังสงสัยว่าจะเห็นชอบเช่นนี้ไปทำไม พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสตอบว่าประโยชน์ของความเห็นชอบทำให้แหนงหน่ายความมีความเป็น และเมื่อแหนงหน่ายก็ย่อมคลายความกำหนัดยินดีในกายใจนี้ เมื่อคลายความกำหนัดยินดีย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นย่อมเข้าถึงนิพพาน นิพพานนั่นเองเป็นที่สุดของประโยชน์ ไม่มีประโยชน์อื่นใดเหนือกว่านี้อีก เพราะบุคคลย่อมดับทุกข์ดับโศกอย่างถาวรเมื่อปราศจากกายใจ ตราบใดมีกายใจก็ยังมีเครื่องล่อไม่ให้รู้จัก ไม่ให้อยากฝันถึงนิพพานไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งสับสนนะครับ อย่านึกว่าเจริญล่ะ ถ้ากายใจเป็นมารก็คว้ามีดมาแทงตัวให้ตายไม่เหมาะหรือ? ในความเห็นชอบขั้นต้นเราต้องมองว่ากายใจมนุษย์นี้เป็นบันไดกุศล เปิดโอกาสให้เราบำเพ็ญบารมีจนดีพอจะเข้าถึงพระนิพพานได้ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านทำนิพพานให้แจ้งแล้ว กายใจก็ไม่เป็นมารอีกต่อไป และท่านก็ยังคงใช้กายใจนี้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสัตว์โลกต่อไป ไม่ทำลายทิ้งเสียก่อนกาลอันควรเลย
๓) อภิสังขารมาร คือบาป บุญ และฌาน ที่สิ่งเหล่านี้ถือเป็นมารได้ก็เพราะบาปเป็นตัวก่อภพที่น่าสะพรึงกลัว บุญเป็นตัวก่อภพดีๆที่น่าติดใจไม่เลิก ส่วนฌานเป็นตัวก่อภพที่ประณีตสูงส่งเหนือกามารมณ์ ถึงแม้ดีวิเศษอย่างไร ภพก็คือภพ เมื่อมีได้ก็ต้องเสียได้ เมื่อตั้งอยู่ย่อมแปรปรวนไป เมื่อแปรปรวนไปย่อมต้องจากพราก ย่อมต้องพ้นจากสภาพนั้นๆในวันหนึ่ง บันดาลความเศร้าโศกอาลัย ความคร่ำครวญเสียดาย วนไปเวียนมาไม่รู้จบรู้สิ้น พระพุทธเจ้าส่งเสริมให้ทำดีมากๆ คือรู้ว่ายังไม่มีดีข้อไหนก็ทำให้มีเสีย รู้ว่ามีดีข้อไหนแล้วก็เพิ่มให้ยิ่งขึ้นไปอีก แต่ความดีอันเป็นที่สุดคือไม่สำคัญว่าความดีเป็นเป้าหมายสูงสุด เป้าหมายสูงสุดของพุทธคือข้ามพ้นจากภาวะน่ายินดีติดใจทั้งปวง มีความจริงระดับยอดอยู่ประการหนึ่งที่ชวนฉงน นั่นคือเมื่อพระอรหันต์ท่านสว่างแจ้งแทงตลอดแล้ว แม้ท่านจะแสนดี เมตตากรุณาต่อชาวโลกเพียงใด อาการทางใจของท่านก็จะสักแต่เป็นกิริยา ไม่เป็นบุญแบบก่อภพก่อชาติ อันนี้อย่าไปเลียนแบบท่านนะครับ บางคนอยากลัดขั้นเป็นอรหันต์ดิบ ไม่ต้องทำบุญ ไม่อยากให้ใจเป็นบุญ ความจริงพวกเราต้องเกาะบุญไว้ เหมือนตราบใดไม่ถึงฝั่งก็ต้องพึ่งเรือไปเรื่อยๆ จนกว่าจะประชิดฝั่งจริงๆถึงค่อยเห็นเรือเป็นมารที่สมควรทอดทิ้งไว้ เพราะถ้าขืนยังอาลัยก็ไม่ได้ขึ้นฝั่งเท่านั้น
๔) มัจจุมาร คือความตาย ที่ความตายถูกจัดให้เป็นมารก็เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่คนเราส่วนใหญ่จะตายเสียก่อนรู้จักหนทางหลุดพ้น หรือรู้จักหนทางหลุดพ้นแล้วก็ตายเสียก่อนจะบำเพ็ญเพียรจนหลุดพ้นได้สำเร็จจริง ในครั้งพุทธกาลมีภิกษุจำนวนมาก บำเพ็ญเพียรเต็มกำลัง แต่ยังไม่ทันสำเร็จอรหัตตผลก็หมดอายุเสียก่อน และแม้ในยุคเราก็มีพระป่าจำนวนหนึ่ง เอาชีวิตของพวกท่านไปทิ้งในป่ากันเงียบๆ โดยยังไม่ทันบรรลุผลอันเป็นที่สุดกัน พระอรหันต์เป็นบุคคลประเภทเดียวที่ละมัจจุมารเสียได้ กล่าวคือเมื่อหมดกิเลส จิตก็ลอยบุญ ลอยบาป อยู่เหนือธรรมชาติปรุงแต่งให้เกิดภพใหม่ แม้เราจะเห็นด้วยตาเปล่าว่าร่างกายพวกท่านทอดนอนเหมือนขอนไม้ยามสิ้นลม นั่นก็ไม่จัดเป็นมัจจุมาร เพราะความตายขัดขวางการเข้าถึงนิพพานของพวกท่านไม่ได้อีกแล้ว พวกท่านถึงนิพพานเสียก่อนที่มัจจุราชจะมาตัดหน้าชิงตัวไปเกิดในภพใหม่แล้ว
๕) เทวปุตตมาร คือเทวดาพวกที่มีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือเห็นใครอยากไปนิพพานเป็นไม่ได้ ต้องทุรนทุราย อยากเข้าไปขัดขวาง หรือเมื่อเห็นใครเป็นพระอรหันต์และอาจนำหมู่ชนจำนวนมากให้สำเร็จมรรคผลนิพพานตามได้ ก็จะบังเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ อยากให้พวกท่านล้มหายตายจาก ตามหลักฐานในคัมภีร์ บางทีก็เล่นงานกันตรงๆแบบถึงเนื้อถึงตัว หรือเมื่อเล่นงานแบบถึงเนื้อถึงตัวไม่ได้ ก็จะใช้วิธีขอให้รีบลาไปนิพพานดื้อๆ อย่างเช่นที่มารไปทูลขอพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธศาสนาตั้งมั่นแล้ว หมดกิจของพระองค์ท่านแล้ว จึงควรกำหนดปลงอายุเพื่อดับขันธปรินิพพานเสียเถิด ปัจจุบันมักมีนักวิชาการมองว่าเทวปุตตมารกับกิเลสมารคืออันเดียวกัน ความจริงคือเป็นคนละอย่างกัน เช่นที่พระพุทธเจ้าท่านหมดกิเลสแล้ว ย่อมไม่ถูกกิเลสมารมารบกวนเป็นแน่ และอีกประการคือท่านตรัสชัดว่าหมู่ชนถูกพันธนาการไว้ด้วยกิเลสมารและเทวปุตตมาร ถ้าเป็นอันเดียวกันก็คงไม่มีคำว่า ‘และ’ มาเป็นตัวแบ่งแยก

ทำไมพระยามารจึงได้อยู่บนสวรรค์ชั้น 6

พระยามาราธิราชโพธิสัตว์ แท้ที่จริงแล้ว ท่านคือ พระมหาโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง จัดอยู่ในประเภท พระนิยตะโพธิสัตว์ คือ ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้วว่า จะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอนในอนาคต เหตุที่ได้ชื่อว่า เป็นพระยามาราธิราช เนื่องด้วยพระองค์ทรงเกิดจิตอิจฉา ริษยา พระสมณโคดม ที่จะได้มาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนพระองค์ ทั้งที่พระองค์นั้นได้บำเพ็ญพระบารมีมาก่อน แต่เหตุไฉนใยฤา เหล่าพระพรหม และทวยเทพทั้งปวง จึงไม่อัญเชิญพระองค์ ซึ่งขณะนั้น หรือแม้ในขณะทุกวันนี้ เสวยพระชาติเป็น “ท้าวปรนิมิตตวสววัตตีมาราธิราช” เทวราชผู้เป็นใหญ่ 1 ใน 2พระองค์ที่ปกครองสวรรค์ชั้นที่ 6 ที่ชื่อว่า สวรรค์ชั้นปรนิมิตตวสวัตตีแต่กลับพากันไปอัญทูลเชิญ “ท้าวสันต์ดุสิตเทวราช” เทวราชาแห่งสวรรค์ชั้นที่ 4ที่ชื่อว่า ชั้นดุสิต ให้เสด็จลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไป ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงคอยหาจังหวะและโอกาส ที่จะขัดขวางการตรัสรู้ให้จงได้ และเมื่อสบโอกาสในช่วงค่ำ ของคืนวันเพ็ญเดือน 6 ในขณะที่พระสมณโคดมกำลังเตรียมการ ที่จะบำเพ็ญเพียรพระบารมีอย่างเต็มที่ ท้าวปรนิมิตตวสวัตตีมาราธิราช ได้จำแลงกายเป็น “พระยาวสวัตตีมาราธิราช” ทรงช้างนามว่า “ ครีเมขลา” พาเหล่าเสนามาร และกองทัพมารทั้งหลาย พรั่งพร้อมด้วยศาสตราวุธครบมือ มากันอย่างมืดฟ้ามัวดิน เข้ามารังควาญ โดยกล่าวว่า ที่นี่พระองค์ประทับใต้ต้นโพธิ์นี้ เป็นที่ของตน ต้องการให้พระสมณโคดมหลีกลี้หนีห่างไปให้พ้น ถ้าพูดกันดี ๆ ไม่ฟัง ก็คงต้องใช้กำลังกันล่ะแต่แทนที่พระพุทธองค์จะทรงเกรงกลัว กลับสงบนิ่ง พร้อมกับทรงดำรัสว่า “มารเอย ที่ท่านบอกว่าที่ที่เรานั่งอยู่นี้เป็นของท่าน แท้จริงแล้ว เป็นที่ที่เราได้เคยบำเพ็ญบารมีมาช้านาน ใยท่านมากล่าวตู่เช่นนี้” พระยามาราธิราช ได้ฟังดังนั้น ก็กล่าวถามไปว่า “การที่ท่านบอกว่า ที่ที่นี้เป็นที่ของท่านบำเพ็ญบารมีมานั้น ท่านมีพยานหลักฐานอันใดหรือ ส่วนเรานั้น เหล่าพลมารพวกนี้ เป็นพยานให้เราได้”พระสมณโคดมทรงดำรัสตอบว่า “ต้องการพยาน หลักฐาน กระนั้นหรือ ได้เลย พระยามาร” แล้วพระองค์ท่านก็ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถ จากท่าพระหัตถ์ประสานกันขวาทับซ้าย มาเป็นพระหัตถ์ขวาวางไว้ที่พระชานุ (เข่า) ชี้นิ้วพระหัตถ์ลงบนพื้นดิน ส่วนพระหัตถ์ซ้ายยังคงอยู่ที่เดิม หรือที่เรารู้จักกันในปางมารวิชัย และแล้ว ก็บังเกิดมีแม่พระธรณี แทรกแผ่นดินขึ้นมาต่อหน้าพระพักตร์ ระหว่างพระสมณโคดมกับพระยามาร พร้อมกับกล่าวว่า “ข้านี่แหละ เป็นพยานให้ เพราะรู้เห็นการบำเพ็ญเพียรของพระสมณโคดมมาตลอด และนี่คือหลักฐานที่พระสมณโคดม ได้หลั่งน้ำอุทิศในการบำเพ็ญทานบารมีเอาไว้”
พญามารนั้น ก่อนที่จะมาเสวยชาติเกิดเป็นพญามาร ครั้งหนึ่งได้เกิดเป็นมนุษย์ และได้มีชีวิตอยู่ในสมัยพุทธกาลของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ (พระพุทธเจ้านั้นได้เคยบังเกิดขึ้นแล้วหลายพระองค์ ซึ่งต่างกับป์ต่างกัลย์กันมาก เรียกได้ว่า โลกมนุษย์เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง จะมีพุทธเจ้าเกิดขึ้น 1 พระองค์เท่านั้น) พญามารผู้นี้ได้เกิดเป็นมนุษย์มียามว่า โพธิ์อำมาตย์ เป็นถึงอัครเสนาบดีของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช ผู้ที่มีพระทัยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างมากวันหนึ่งทรงทราบว่า พระพุทธเจ้าได้เข้าฌานนิโรธสมาบัติ ซึ่งผู้ที่ได้ถวายทานเป็นคนแรกหลังจากพุทธเจ้าออกจากฌาน จะเป็นบุญมหาศาลยิ่งนัก ถึงขั้นขออะไรก็จะสำเร็จดังนั้นทุกประการทีเดียว(มีตัวอย่างมาแล้วในสมัยพุทธกาลที่ผ่านมา แต่ยังไม่เล่า) พระเจ้ากิงกิสสะจึงประกาศห้ามผู้ใดไปถวายทานก่อนพระองค์เป็นอันขาด ใครฝ่าฝืนจะประหารชีวิตในทันทีโพธิ์อำมาตย์ แม้จะทราบคำสั่งของเหนือหัว แต่ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะถวายทาน ถึงกับไม่กลัวตาย รุ่งขึ้นจึงได้ชวนภรรยาพร้อมด้วยเครื่องไทยทานรวม 2 ห่อ ตรงไปยังบริเวณต้นไทรใหญ่ที่พระพุทธเจ้าทรงเข้าฌานอยู่ ทหารรักษาการณ์เห็นดังนั้น จึงตรงเข้าขัดขวาง แต่โพธิ์อำมาตย์ได้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะถวายทานให้ได้ ที่จริงจะบอกไปก็ได้ว่าเหนือหัวให้มาอาราธนาเข้าไปในวัง แต่ไม่ควรจะโกหกเช่นนั้น จึงได้บอกความจริงไปแม้จะต้องถูกประหารก็ไม่กลัว เช่นนั้นแล้วจึงได้ถูกทหารจับตัวไป เมื่อพระเจ้ากิงกิสสะได้ทราบข่าวว่าเสนาบดีของตนเองได้ละเมิดคำสั่งเสียเอง จึงพิโรธเป็นอันมาก จึงได้สั่งประหารทันทีฝ่ายพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณว่าโพธิ์อำมาตย์ได้มีศรัทธาแรงกล้าจะถวายทาน แม้จะถูกประหารก็ไม่กลัว จึงทรงกรุณาแก่เสนาบดีมาก จึงเนรมิตพุทธนิมิตให้สถิตย์แทนพระองค์ แล้วไปปรากฎตัวแก่โพธิ์อำมาตย์โดยให้เห็นเฉพาะโพะอำมาตย์เท่านั้น แล้วได้กล่าวว่า"ดูก่อนโพธ์อำมาตย์ ท่านทำถูกแล้วจงมีศรัทธามั่นเถิด อย่าอาลัยในชีวิต ไทยทานของท่านอยู่ที่ไหน จงถวายเราเถิด"เสนาบดีผู้น่าสงสาร เมื่อได้ฟังคำตรัสของพุทธเจ้าแล้ว ได้เกิดความเลื่อมใสอย่างสุดใจ รีบนำเครื่องไทยทานของตนและภรรยามาถวายด้วยความศรัทธาอย่างที่สุด และได้ตั้งความปรารถนาแทบพระบาทเอาไว้ว่า"ด้วยอำนาจแห่งผลทานครั้งนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ข้าพระองค์ได้เป็นพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระองค์ในอนาคตกาลโน้นเถิด"กัสสปะพุทธเจ้าได้ยกพระหัตย์ลูบศีรษะของโพธิ์อำมาตย์และได้กล่าวพยากรณ์ว่า"ท่านปรารถนาสิ่งใด ขอสิ่งนั้นจงสำเร็จเถิด ท่านจะได้อุบัติเป็นพุทธเจ้าในอนาคตในอนาคตเบื้องหน้าโน้น"หลังจากนั้น เสนาบดีก็ถูกประหารชีวิต แล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต และจุติจากดุสิตสวรรค์ลงมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎมาช้านาน จนล่าสุดได้ไปเกิดเป็นพญามารดังที่กล่าวไว้น่นเอง แต่เนื่องจากมีจิตริษยาในพระพุทธโคดม คือ พุทธเจ้าของเรา ที่มาตรัสรู้ก่อนตน จึงได้ตามเฝ้าประจัญขัดขวางต่างๆ แต่มิได้ล่วงเกินบาปหนักแต่ประการใดต่อมา หลังจากพระพุทธเจ้าของเราปรินิพพานได้ 200 ปีเศษๆ พระเจ้าธรรมาโศกราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีป ทรงมีศรัทธาอุตสาหะ สร้างพระสถูปเจดีย์ถึงแปดหมื่นสี่พันองค์ เพื่อเป็นการบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และยังปรารถนาจะทำการฉลองใหญ่ มีกำหนดถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ให้สมกับความตั้งใจของพระองค์ที่มีมานาน และการฉลองใหญ่ครั้งนี้ พระองค์เกรงว่าจะถูกรบกวนจากพญามาร ผู้มีอิธิฤทธิ์สูงส่งนักและมีจิตริษยา พระเจ้าธรรมาโศกราชจึงได้อาราธนาภิกษุสงฆ์เพื่อให้ช่วยป้องกันภัยจากพญามารนี้ แต่เหล่าสงฆ์ทั้งหลายในสังฆมณฑลรู้ตัวดีว่าไม่อาจสู้ฤทธิ์ของพญามารนี้ได้ แต่มีภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งจำพุทธพยากรณ์ได้ว่า จะมีภิกษุสงฆืรูปหนึ่ง นามว่า อุปคุตเถระ จักปราบมารให้ละพยศ และจักปรารถนาพุทธภูมิกล่าวกันว่าอุปคุตเถระผู้นี้ มีปกติสันโดษอยู่องค์เดียว ชอบแผลงฤทธิ์ลงไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ และเนรมิตปราสาทล้วนด้วยแก้ว 7 ประการ ประดิษฐานอยู่ในท้องมหาสมุทร นั่งเหนือรัตนบัลลังค์ เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุติสุขอยู่ลำพัง เป็นเวลาหลายวัน จนวันพุธเพ็ญกลางเดือน จึงออกจากสมาบัติ เหาะขึ้นมาบิณฑบาทบนโลกมนุษย์ครั้งหนึ่ง แล้วจึงกลับลงไปเข้าฌาน เป็นแบบนี้ตลอดเวลาและในครั้งนี้นี่เอง พระอุปคุตเถระ ได้ถูกภิกษุ 2 รูป ผู้ได้อภิญญาชำแรกมหาสมุทรลงมาแจ้งโทษแก่ท่าน ว่าไม่มีสังฆกรรมร่วมกับสงฆ์ กลับมาหาความสบายแต่ผู้เดียว บัดนี้คำสังจากสงฆ์นำมาถึงท่าน ให้ท่านเป็นธุระป้องกันพญามาร อย่าให้ได้รบกวนงานฉลองของพระเจ้าธรรมาโศกราชได้ พระเถระน้อมรับคำสั่งโดยมิได้โต้แย้งใดๆวันเปิดงานมาถึง พระเจ้าธรรมาโศกราชได้เข้าสู่บริเวณงาน พร้อมด้วยคณะสงฆ์มากมาย ขณะนั้นนั่นเอง พญามารผู้มีใจริษยา อดใจไม่ไหว จึงลงมาจากปรนิมมิตสวัตตี บันดาลให้เกิดพายุใหญ่พัดกระหน่ำ หวังจะทำลายงานดับประทีปบูชาที่จุดสว่างสไว ฝ่ายพระอุปคุตเถระซึ่งได้คอยระวังอยู่แล้ว จึงบัดาลให้พายุนั้นอันตรธานหายไปพญามารจึงได้โมโหโกรธายิ่งขึ้น และรู้ได้ด้วยฤทธิ์ว่าพระรูปนี้นั่นเอง ที่เป็นผู้ต่อกร จึงเปลี่ยนแผน แปลงร่างเป็นวัวกระทิงตัวใหญ่ยักษ์ เขาโง้งแหลมคมราวกับหอก วิ่งพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ หวังจะทำลายโรงพิธีให้แหลกไป พระเถระเห็นเช่นนั้น ก็ไม่รอช้า แปลงกายเป็นเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ ตรงเข้าตะลุมบอล ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ไม่นานนักวัวกระทิงก็โดนเสือตะปบไปนอนกองแทบจะตายแหล่ แต่ไม่นานมันก็เปลี่ยนร่างเป็นพญานาค 7 เศียร พ่นไฟใส่เสื่อโคร่ง หมายจะเอาชีวิต พระเถระเห็นว่าเสียเปรียบจึงแปลงกายเป็นพญาครุฑตัวใหญ่ โดดเข้าจิกหัวพญานาคลากกลิ้งไปอย่างไม่ปราณี เล่นเอาพญานาคร้องโอดโอยและได้เปลี่ยนร่างเป็นยักษ์ใหญ่ นัยน์ตาดุดัน ถือกระบองยักษ์เท่าต้นตาล กวัดแกว่งทุบหัวพญาครุฑโดยไม่รั้งรอ พญาครุฑเห็นเช่นนั้น จึงเปลี่ยนร่างเป็นยักษ์ที่ใหญ่กว่าถึง 2 เท่า ถือกระบองยักษ์ 2 อัน เหวี่ยงเข้าทุบศีรษะพญามารอย่างรุนแรง และรวดเร็วราวกับจักรผัน ยากที่พญามารจะป้องกันได้ ในที่สุดก็กลับร่างและยอมแพ้ไปในที่สุดพระเถระเห็นดังนั้น ไม่รอช้า ได้เนรมิตร่างหมาเน่า กลิ่นเหม็นฟุ้งเต็มไปด้วยหนอน และดึงประคตจากเอวของท่าน ออกมาผูกร่างหมาเน่าและเหวี่ยงไปคล้องคอพญามาร พร้อมกล่าวว่า"ไม่ว่าใครก็ตาม ย่อมไม่อาจเอาหมาเน่าออกจากคอพญามารนี้ได้"จากนั้นก็ขับไล่พญามารให้ออกไปจากพื้นที่นั้นพญามารผู้เลิศฤทธิ์ พอถูกหมาเน่าคล้องคอก็พาลหมดฤทธิ์เอา ไม่อาจทำอะไรได้ จะเอาออกเองก็มิได้ ได้แต่ไปวอนขอให้เพื่อนเทวดา ตั้งแต่เทวกษัตริย์สวรรค์ชั้นที่ 1 - 6 ให้ช่วยเอาออกให้ ก็ไม่มีใครเอาออกได้ ได้แต่แนะนำว่า ให้ไปขอขมากับพระเถระดีกว่า ให้ท่านช่วยแก้ให้ พญามารไม่มีทางเลือก ได้แต่จำใจกลับไปหาพระเถระ เพื่อขอขมาและบอกให้ท่านช่วยเอาออกให้ พระเถระยินดีเอาออกให้ แต่ก่อนอื่น อยากให้ตามมาทางนี้ก่อน พระเถระได้นำพญามารมายังภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง แล้วหยิบเอาหมาเน่าออกและโยนทิ้งไปในเหว พร้อมกันนั้น ก็เนรมิตประคตนั้นให้ยาวขึ้น และพันรอบตัวพญามารไว้กับภูเขา แล้วกล่าวว่า"ท่านจงอยู่ที่นี่ จนกว่าพระเจ้าธรรมาโศกราชจะทำพิธีฉลองสถูปเจดีย์ครบ 7 ปี 7 เดือน 7 วันให้เสร็จสิ้นไปก่อน"กล่าวจบก็เดินไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองพญามารได้รับทุกขเวทนาอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน จนเมื่อครบกำหนด พระเถระได้กลับมาเพื่อจะปลดปล่อยพญามาร แต่ได้เดินมาแอบดูก่อน พญามารเป็นอย่างไรบ้าง พญามารเอง ก่อนเคยมีวิมาน มีสุข เมื่อมารับทุกขเวทนาเช่นนี้จึงละพยศในสันดาน และนึกถึงพุทธโคดมและกล่าวออกมาว่า"เมื่อพระองค์สถิตย์ใต้ต้นมหาโพธิ์ ข้าพระองค์ขว้างจักราวุธอันคมกล้าไป หมายจะปลิดชีพพระองค์ แต่จักรนั้นกลับกลายเป็นดอกไม้บูชาพระองคื และไม่ว่าจะขว้างอาวุธอะไรไป ก็กลายเป็นดอกไม้ไปเสียหมด คราวนั้นข้าพ่ายแก่พระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่ได้โต้ตอบอันใด บัดนี้สาวกของพระองค์มีจิตใจ***วมโหดทำร้ายข้า ทำให้ข้าพระองค์ได้รับทุกข์สาหัสเหลือเกิน"คิดแล้วก็เศร้าโศกและโมโห เอาบาทกระทืบพื้นดังลั่น แต่แล้วก็หวนคิดถึงพุทธภูมิที่เคยตั้งใจไว้ที่แทบพระบาทกัสสปะพุทธเจ้า ในที่สุดพญามารก็สำนึกได้ จึงลดละความริษยา ตั้งใจอยู่ในคุณธรรม เพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลายในอนาคตครั้นกล่าวจบ พระเถระได้แสดงตนออกมา และแก้มัดให้กับพญามาร"ดูก่อนพญามาร ขอท่านยกโทษให้ข้าด้วย แม้การกระทำของข้าครั้งนี้จะทำร้ายท่าน แต่ก็ทำให้ท่านระลึกถึงพุทธภูมิที่ท่านเคยตั้งใจปรารถนาไว้"ต่อจากนั้น พระเถระได้ขอให้พญามารได้แปลงกายเป็นพุทธองค์ เพื่อจะได้เห็นพุทธานุสติบ้าง พญามารรับคำ แต่บอกว่า ห้ามลืมตัวกราบไหว้เด็ดขาด มิฉะนั้นตนจะบาปหนักครั้นแล้ว พญามารก็เนรมิตตนเป็นพุทธเจ้า ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ และฉัพพรรณรังสีอันวิจิตร มีพระอัครสาวกเบื้องซ้ายขวา แวดล้อมด้วยมหาสาวกทั้งหลายเป็นบริวารเสด็จเยื้องย่างด้วยพุทธลีลางดงามยิ่งนักพระเถระและพุทธบริษัทเห็นเช่นนั้น ก็เกิดความปิติอย่างสูงยิ่ง เกิดปิติลืมตัวพร้อมกันนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์ทั้งสิ้น ทำให้พญามารตกใจกลับร่างเดิม"ทำไมท่านลืมสัญญามากราบไหว้ข่าเล่า""พวกเรามิได้ไหว้ท่านหรอก เพียงแต่กราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้าและพระสาวกตางหาก""แต่ข้าก็บาปนะท่าน""ไม่บาปหรอก ท่านได้ทำกุศลแก่พวกเราตางหาก"จากนั้น พญามารก็กลับคืนสู่สวรรค์ และตั้งแต่นั้นมา พญามารก็มีจิตเลื่อมใสในพุทธศาสนามาตลอด และบำเพ็ญตนเพื่อจะได้มาตรัสรู้เป็นพุทธเจ้าในอนาคตต่อไป... พญามารจะมาบังเกิดเป็นพุทธเจ้ามีพระนามว่า "พระพุทธธรรมสามี" เป็นพุทธเจ้าองค์เดียวในกัลป์นั้น ต่อไปในอนาคตอันไกลโพ้น

คำบูชา พระอุปคุต หรือ พระบัวเข็ม

คำบูชา พระอุปคุต หรือ พระบัวเข็มการตั้งบูชา
นิยมการตั้งบูชาบนฐานรองรับ อยู่กลางภาชนะใส่น้ำ เป็นการจำลองคล้ายกับท่านจำพรรษาอยู่ในมหาสมุทร แล้วใช้ดอกมะลิลอยในน้ำบูชา และต้องตั้งต่ำกว่าพระพุทธ เนื่องจากเป็นพระอรหันต์ สาวกของพระพุทธเจ้า
คำบูชา
พระอุปคุตอุปะคุตโต จะ มะหาเถโร สัมพุทเธนะ วิยากะโต มารัญจะ มาระพะลัญจะ โส อิทานิ มะหาเถโร นะมัสสิตะวา ปะติฎฐิโต อะหัง วันทามิ อิทาเนวะ อุปะคุตตัง จะ มาหาเถรัง ยัง ยัง อุปัททะวัง ชาตัง วิธัง เสติ อะเสสะโต มะหาลาภัง ภะวันตุเม ฯ หรือ (แบบย่อ) อุปะคุตโต จะ มะหาเถโร ยักขาเทวา นะระปูชิโต โสระโห ปัจจะ ยาทิมปิ มะหาลาภัง ภะวันตุเม ฯ
(เกิดโชคลาภและคุ้มกันภัยภิบัติอันตรายทั้งปวง)
คำบูชาพระมหาอุปคุต
นโม ๓ จบ
พระมหาอุปคุตโต พระมหาอุปคุตตัง จะมหาเถโร สัพเพชะนา พะหูชะนา อิถีชะนา มามังพุทธะจิตตัง จะมหาลาโภ พุทธะธัมโม จะมหาลาภัง พุทธะสังฆัง จะมหาสัจจัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม ฯอุปคุตตะ จะมหาเถโร สัพพะเสน่หาปุพชิโต โสระโห อุปะคุตะ ปัจจะยา ธิมะหิ อุตตะโม โหติ สัพพะทุกขะ สัพพะภะยะ สัพพะโรคะ พุทธา ธัมมา สังฆา อานุภาเวนะ วินาสสันติ ฯ
(นิยมสวดบูชาพระบัวเข็ม หรือ พระธาตุอุปคุต)
คำบูชาขอลาภพระอุปคุต
มหาอุปคุตโต จะมหาลาโภ พุทโธลาภัง สัพเพชะนา พะหูชะนา ราชาปุริโส อิถีโยมานัง นะโมโจรา เมตตาจิตตัง เอหิจิตติจิตตัง ปิยังมะมะ สะเทวะกัง สะพรหมมะกัง มะนุสสานัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม ฯเอหิจิตติ จิตตังพันธะนัง อุปะคุตะ จะมหาเถโร พุทธะสาวะกะ อานุภาเวนะ มาระวิชะยะ นิระภะยะ เตชะปุญณะตา จะเทวะตานัมปิ มะนุสสานันปิ เอหิจิตตัง ปิยังมะมะ อิมังกายะ พันธะนัง อะทิถามิ ปะอัยยิสสุตัง อุปัจสะอิ ฯ

วิธีสวดขอลาภให้จุดธูปเทียนบูชา พร้อมกับดอกไม้หอม เครื่องหอมน้ำหอมต่างๆ เทหยดใส่ในขันน้ำมนต์ ณ ที่บูชาพระในร้านค้าขาย หรืออาคารสำนักงาน แล้วอธิษฐานขอให้กลิ่นควันธูปเทียน ลมพัดไปทางไหน ของให้ดลใจผู้คนเข้ามาอุดหนุนตลอด ขอให้ดำเนินกิจการด้วยความราบรื่น มีความสำเร็จสมปรารถนาทุกประการ เมื่ออธิษฐานจุดธูปเทียนบูชาแล้ว ให้สวด นะโม ๓ จบ และสวดคำบูชาขอลาภพระอุปคุต ๑ จบ แล้วทำน้ำมนต์สวดด้วย คำบูชาขอลาภพระมหาอุปคุต อีก ๑ จบ เสร็จแล้ว เอาน้ำมนต์ประพรมร้านค้า และสินค้าในร้านค้า หรือทำธุรกิจ ก็ให้เอาน้ำมนต์ประพรมภายในสำนักงานและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำธุรกิจนั้นทั้งหมด

คาถาพระมหาอุปคุตผูกมาร
นโม ๓ จบ
มหาอุปคุตโต มหาอุปคุตตัง กายะพันทะนัง อมยิสะ พุทธังทะเถโร ธัมมังทะเถโร สังฆังทะเถโร ปะอัยยะสุตัง อุปัจสะอิ อิมังกายะพันทะนัง อะทิถามิ ฯ
(คาถาพระมหาอุปคุตผูกมาร มีอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์มาก เสกด้วยสายสิญจน์ทำเป็นมงคลสวมคอ หากปลุกเสกครบ ๑๐๘ ครั้งสามารถป้องกันภูตผีปีศาจทั้งปวง และป้องกันอุปัทวอันตรายต่างๆ ถ้าเสก ๓ - ๗ คาบ ผูกคอหรือคล้องคอคนถูกผีเจ้าเข้าสิง จะเจ็บปวดร้องครวญครางโหยหวยอย่างน่าเวทนา ถ้าจะให้ผีที่สิงอยู่ออกไป ให้ถอดหรือแก้ด้ายผูกคอออก แล้วเอาด้ายนี้ตีปัดตามตัวคนที่ถูกผีสิงอยู่ ผีจะอยู่ไม่ได้จะเผ่นออก และไม่กล้ากลับมารบกวนคนในบ้านอีก และยังมีการปลุกเสกในทางพิชิตโรคาพาธได้วิเศษนัก)

คำบูชาพระบัวเข็ม
นโม ๓ จบ
กิจจะมาคะอุปคุตโต อะมะหาเถโร สัมพุทเธวิยาคะโต มาระรัญจะ โสอิทานิ จะมะหาเถโร นะมัดปะสิทตะวาปะ ถิติโกอหัง วันทามิ พาเนวะอุปคุตตัง จะมะ หาเถรัง ยังยังอุปัทธะวังชาติ วิทังเสนติ อะเสสะโต นโมพุทธายะพระบัวเข็มจะมะหาเถโร สัพพะลาภังภะวันตุเม อิติปิโสภะคะวา พุทโธชัยโย ธัมโมชัยโย สังโฆชัยโย เมตตา ฉิมพาลีจะมะหา เถโร สัพพะลาภัง ตะวันตุเม ฯชัยยะตัง ปัตถะพีตับภัง สามินโท โสราชาปูเชมิ ฯ

หรือจิตติจิตติ มิตติเอหิมะมะ อุปปะคุตโต จะมะหาเถโร นานาปาระมิ สัมมะปัณโน อิติปิโสภะคะวา มะอะอุเมตตา จะมะหาราชา สัพพะสะเนหา จะปูชิตา สัพพะทุกขัง มะหาลาภัง สัพพะโกพัง วินาสสันติ

กำเนิด ประวัติ เรื่องราวความเป็นมา พระอุปคุต - คัมภีร์ปฐมสมโพธิ์







กำเนิด ประวัติ เรื่องราวความเป็นมา พระอุปคุต - คัมภีร์ปฐมสมโพธิ์

ตำนานใน คัมภีร์ปฐมสมโพธิ์ ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของ สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส มีเนื้อความดังนี้
ในคัมภีร์ปฐมสมโพธิ์ได้กล่าวถึงพระเจ้าอโศกว่า แต่เดิมนั้นพระเจ้าอโศกทรงนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน แต่พอมาได้ฟังธรรม จากสามเณรนิโครธ ก็เกิดพระศรัทธา ในพุทธศาสนาอย่างมาก จนถึงขนาด ทรงนำหลักธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า มาเป็นนโยบายในการปกครองไพร่ฟ้า ประชาราษฎร์ ซึ่งระบบนี้เรียกว่า ระบบธรรมาธิปไตย คือการถือเอาธรรมะเป็นใหญ่
และในสมัยต่อมา พระเจ้าอโศกก็ได้โปรดให้สร้างพระสถูปเจดีย์และพุทธวิหารขึ้นทั่วชมพูทวีป โดยพุทธวิหาร ที่โปรดให้สร้างขึ้นนั้น ที่มีชื่อเสียงที่สุด ได้แก่ มหาวิหารที่ชื่อว่า “อโศการาม” ซึ่งตั้งอยู่ในเขตแคว้นมคธ ส่วนพระสถูปเจดีย์นั้น โปรดให้สร้างขึ้นถึง 84,000 องค์ และเมื่อพระสถูปเจดีย์ได้สร้างสำเร็จ สมพระราชประสงค์แล้ว พระเจ้าอโศกก็จึงได้ตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่า จะสามารถหาพระบรมสารีริกธาตุ แต่ที่ใดมาบรรจุ ในพระสถูป ให้ถ้วนทั่วทั้ง 84,000 องค์ พระภิกษุทั้งหลาย ถวายพระพรว่า “พวกอาตมาภาพเคยได้สดับสืบ ๆ กันมาว่า การกระทำพิธีฝัง พระบรมสารีริกธาตุ นั้นมีอยู่ แต่มิทราบว่าสถานที่กระทำพิธีฝังพระบรมสารีริกธาตินั้นอยู่ที่ไหน” เมื่อพระเจ้าอโศก ทรงทราบเช่นนั้น จึงรับสั่งให้รื้อทำลาย พระสถูปเจดีย์ใน เมืองราชคฤห์ เพื่อค้นหา พระบรมสารีริกธาตุ แต่ก็ไม่ทรงพบ จึงทรงรับสั่งให้ก่อขึ้นไว้เป็นปกติดังเดิม
แต่มีเรื่องน่าอัศจรรย์เกิดขึ้น ตอนที่ไปขุดค้นหาพระบรมสารีริกธาตุ ที่รามคาม ปรากฎได้เกิดเหตุชนิดที่ใคร ๆ ก็คาดไม่ถึง คือหมู่นาค ไม่ยอมให้รื้อทำลายพระเจดีย์ โดยบันดาลทำให้ จอบเสียม สิ่ว ขวาน แตกหัก เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ ไม่สามารถขุดรื้อได้ดังใจปรารถนา
ในเมื่อการค้นหาพระบรมสารีริกธาตุไม่พบ ดังพระราชประสงค์ พระองค์จึงเสด็จนิวัติสู่กรุงราชคฤห์อีกครั้งหนึ่ง รับสั่งให้พุทธบริษัททั้ง 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เข้าร่วมประชุม แล้วจึงตรัสถามว่า “ใครเคยได้ยิน มาบ้างว่า มีการกระทำพิธีฝังพระบรมสารีริกธาตุไว้ ณ ที่ ไหน” ในที่ประชุมนั้น ปรากฎว่า มีพระมหาเถระผู้เฒ่ารูปหนึ่ง อายุ 120 ปี บอกว่าสมัยที่มีอายุได้ 7 ขวบนั้น พระมหาเถระ ผู้เป็นบิดา ได้เคยพาท่านไปบูชาสถูปศิลาองค์หนึ่ง และสั่งย้ำว่า จงจำสถานที่นี้เอาไว้ให้ดี แต่ก็ไม่แน่ใจว่า ที่นั่น จะเป็นที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุหรือไม่
เมื่อพระเจ้าอโศกได้ทรงสดับเช่นนั้น ก็ดำริว่า ที่นั้นชะรอยจะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเป็นแน่แท้ จึงมีรับสั่ง ให้พระมหาเถระนำเสด็จไปยังสถานที่แห่งนั้น เมื่อขุดลงไปก็ปรากฎว่าได้พบพระบรมสารีริกธาตุจริง ๆ ทำให้ พระเจ้าอโศก ทรงปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อกลับมาถึงเมืองปาฏลีบุตรแล้ว ก็ได้ทรงกระทำสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุโดยวิธีอเนกประการ หลังจาก ทรงทำพิธีสักการะบูชาเสร็จ พระองค์ก็ทรงแจกพระบรมสารีริกธาตุไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์ทั้ง 84,000 แห่ง ทั่วชมพูทวีป
เมื่อได้ทำการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเจดีย์ทั้งหลายทุก ๆ พระนครเสร็จแล้ว ต่อจากนั้น จึงทรงรับสั่ง ให้ก่อสร้าง พระมหาสถูปองค์ใหญ่ขึ้นใหม่องค์หนึ่ง มีความสูงประมาณครึ่งโยชน์ ประดับประดาด้วยแก้วต่าง ๆ และแสงแห่งแก้วเหล่านั้น ก็สว่างรุ่งเรืองประดุจเขาไกรลาศ ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ใกล้กับ กรุงปาฏลีบุตร นั่นเอง ครั้นสร้างเสร็จแล้ว จึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เหลืออยู่ 1 ส่วน ไปบรรจุไว้
ในกาลต่อมา พระเจ้าอโศกมหาราช มีพระราชประสงค์ ที่จะทำาการฉลองพระสถูปเจดีย์ เป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน จึงนำความไปปรึกษากับหมู่สงฆ์ ซึ่งมีพระโมคคัลลีบุตรเถระเป็นประธาน พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ พร้อมกับ พระภิกษุสงฆ์ ผู้ทรงอภิญญาทั้งหลาย ได้เล็งญาณดูแล้วเห็นว่า ในการทำพิธีฉลองครั้งนี้จะมีพญามาร มาทำลายพิธี จึงได้ทำการเฟ้นหาพระเถระ ผู้มีฤทธิ์ที่จะมาทำการป้องกันภัย อันจะพึงเกิด ขึ้นในครั้งนี้
แต่ปรากฎว่า ไม่มีผู้ใดที่สามารถจะทำการนี้ได้ จะเห็นมีอยู่ก็แต่ ท่านอุปคุต ซึ่งไปเนรมิตปราสาทแก้ว 7 ประการ จำพรรษาอยู่ในท้องมหาสมุทร เพื่อหลบหนีความวุ่นวาย โดยท่านไปนั่งเข้าฌาณสมาบัติ อยู่บนรัตนบัลลังค์ใน ท่ามกลางปราสาทแก้วนั้น โดยไม่ได้ฉันภัตตาหาร มาเป็นเวลานาน พระอุปคุตนี้แหละ หากได้นิมนต์มา ก็จะสามารถ ปราบพญามารได้ จึงตกลงใจที่จะไปนิมนต์พระอุปคุตมา สำหรับการไปนิมนต์ ครั้งนั้นก็ได้มอบหมาย ให้พระภิกษุ ผู้มีฤทธิ์ ได้อภิญญาสมาบัติ 2 รูป เป็นผู้ไปนิมนต์
เมื่อไปถึงที่อยู่ของท่านอุปคุต และได้แจ้งความประสงค์ให้ท่านทราบ ท่านก็ไม่ได้แสดงความขัดข้องแต่ประการใด บอกให้พระภิกษุที่ไปนิมนต์กลับมาก่อน แล้วท่านจะตามมาทีหลัง แต่ที่ไหนได้ …พอพระภิกษุที่ไปนิมนต์กลับมาถึง ก็เห็นท่านอุปคุตมาถึงก่อนแล้ว….นี่แสดงให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์อันน่าอัศจรรย์ของท่านพระอุปคุต
ก่อนที่จะถึงกำหนดการฉลองพระสถูปเจดีย์ พระเจ้าอโศกต้องการจะดูตัวว่าพระเถระไหนหนอ ที่จะมาทำหน้าที่ ป้องกันภัย จากพญามาร พอประธานสงฆ์ชี้ให้ดูว่ารูปนี้ไง ที่จะเป็นผู้ทำหน้าที่ป้องกันภัยจากพญามาร พระเจ้าอโศก ก็ชักไม่ค่อยเชื่อใจ เพราะรูปร่างของพระอุปคุตนั้นผอมมาก จะทำการป้องภัยจากพญามารผู้มีฤทธิ์มากได้อย่างไร ในเมื่อไม่เชื่อก็ต้องทดสอบ
วิธีการทดสอบของพระเจ้าอโศกก็คือ ในตอนเช้า ขณะที่ท่านอุปคุตเข้าไปบิณฑบาตรในพระราชนิเวศน์ พอออกมา ก็ให้ปล่อยช้างตกมันเพื่อจะทดลองกำลังฤทธิ์ของท่านพระอุปคุตว่า จะสู้กับช้างของพระองค์ได้หรือไม่ เพราะถ้าหาก ต่อสู้กับช้างไม่ได้แล้ว ไฉนเลยจะต่อสู้กับพญามารได้
และแล้ว พระเจ้าอโศกก็ได้เห็นประจักษ์ เมื่อช้างตกมันได้วิ่งไปหมายจะบดขยี้ท่านพระอุปคุต…แต่ช้างนั้นต้องพลัน ชะงักงันหยุดนิ่ง ไม่ไหวติง ร่างกายด้วยอำนาจฤทธิ์ของท่านอุปคุต
พระเจ้าอโศกเห็นดังนั้น จึงได้เข้าไปขอขมาต่อท่านพระอุปคุต ที่ได้ทำการลองดี ท่านอุปคุตก็ได้คลายฤทธิ์ ทำให้ช้างนั้น สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ และกลับไปสู่โรงช้างอันเป็นที่อยู่ของตน เหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้พระเจ้าอโศก มีความมั่นใจในฤทธานุภาพของท่าน พระอุปคุตว่าจะสามารถ ป้องกันภัยจากพญามารได้
และแล้ววันสำคัญก็มาถึง นั่นคือวันที่จัดให้มีการฉลองพระมหาสถูปเจดีย์พระเจ้าอโศกพร้อมด้วยข้าราช บริพาร และประชาขนได้พร้อมใจกันจัดเครื่องบูชาอย่างมโหฬาร ตามริมฝั่งแม่น้ำคงคา มีการจุดประทีป เป็นอเนกอนันต์ นับไม่ถ้วน จนทำให้บริเวณนั้นโชติช่วง มองดูแล้วสว่างไสวคล้ายเวลากลางวัน ขณะที่ทุกคนกำลังปีติอยู่กับ การบูชาพระมหาเจดีย์ นั้น เหตุการณ์ที่ใครๆ ไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้น คือได้เกิดลมพายุใหญ่พัดมา ชนิดที่ไม่มีเค้ามาก่อนเลย
ท่านพระอุปคุตเห็นดังนั้น ก็จึงได้ใช้ฌาณอภิญญาตรวจดูเหตุที่ทำให้เกิดพายุใหญ่ ก็จึงได้ทราบว่า ที่แท้เป็นเพราะอำนาจ แห่งพญามารที่หวังจะมาทำลายพิธีนี่เอง ในเมื่อรู้ชัดเช่นนั้นแล้ว ท่านพระอุปคุตก็ไม่รอรี รีบใช้ฤทธิ์ปัดเป่า ให้พายุใหญ่ของพญามาร อันตรธานหายไปในบัดดล
เมื่อพญามารเห็นว่าใช้พายุใหญ่เพื่อทำลายพิธีไม่ได้ผล ก็รู้สึกโกรธแค้น จึงใช้วิธีการอย่างอื่น ๆ แต่ท่านพระอุปคุต ก็สามารถจะเอาชนะได้ทุกอย่าง จนผลที่สุด พญามารก็ได้ถูกพระอุปคุตปราบ โดยวิธีเนรมิตซากสุนัขเน่า ซึ่งมีกลิ่นเหม็น คละคลุ้ง และเต็มไปด้วยหมู่หนอนมองดูแล้วน่าขยะแขยง แล้วเอาผูกติดไว้ที่คอของพญามาร ผูกไม่ผูกเปล่า พระอุปคุตยังได้อธิษฐานจิตลงไปอีกว่า “ไม่ว่าเทพยดา พรหมหรือใครก็ตาม ถ้าจะแก้ ก็ขอให้แก้ไม่ออก”
พญามารพยายาม จะแก้เอาซากสุนัขนั้นออกจากคอของตนแต่ก็จนปัญญา ไม่สามารถจะแก้ออกได้ จึงจำใจ ต้องไปไหว้วอนท้าวจาตุมหาราช ให้ช่วยแก้ให้ แต่ท้าวจาตุมหาราชก็ไม่สามารถจะช่วยได้ พญามาร จึงขึ้นไปขอร้องเทพยดา ในชั้นสูง ๆ ขึ้นไปอีก จนถึงชั้นพรหม แต่ก็ได้ผลอย่างเดิมคือไม่มีใครช่วยได้
ในที่สุดก็กลับไปอ้อนวอนขอร้องท่านพระอุปคุตให้ช่วยแก้ให้ เพราะมีท่านอุปคุตเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่สามารถ จะช่วยแก้ให้ได้ แต่ก่อนจะแก้ให้ ท่านพระอุปคุตก็ได้สั่งให้พญามารไปทีภูเขา แล้วจึงตามไปแก้ให้ เมื่อแก้ให้แล้ว ท่านพระอุปคุตพิจารณาเห็นว่า ถ้าขืนปล่อยไปตอนนี้ พญามารอาจจะไปรังควาญ การทำพิธีของพระเจ้าอโศกอีก ก็จึงได้มัดพญามาร ไว้ที่ภูเขา บอกว่ารอให้พิธีฉลองพระสถูปเจดีย์ ของพระเจ้าอโศกผ่านพ้นไปเสียก่อน แล้วจึง จะมาแก้มัดให้ พญามารจึงเป็นอันต้องถูกผูกมัดติดกับภูเขาเป็นการประจานด้วยโทษฐานเป็นผู้ มีใจบาปคอยขัดขวาง และทำลายการทำความดีของผู้อื่น
เมื่องานฉลองพระสถูปเจดีย์ผ่านพ้นไป ท่านพระอุปคุตก็ได้ไปยังภูเขา เพื่อจะไปปลดปล่อยพญามารตามสัญญา เมื่อไปถึง แทนที่พระอุปคุตจะแสดงตัวให้พญามารได้เห็น ท่านก็กลับซ่อนเร้นอยู่ทางเบื้องหลัง เพื่อว่าจะฟังว่า พญามารจะว่ากล่าวอย่างไรบ้าง
พญามารเมื่อละพยศหมดความดุร้ายแล้ว ก็ได้หวนระลึกไปถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ในวันที่พระองค์จะตรัสรู้นั้น ตนได้เคยไปรังควาญต่าง ๆ นานา แต่ทว่าพระองค์ก็ไม่เคยโต้ตอบเลยแม้แต่น้อย พญามารรู้สึกสำนึก ถึงโทษ ที่ตัว ได้กระทำ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเลื่อมใสในคุณของพระพุทธเจ้า จึงได้เปล่งวาจาอุทานออกมาว่า “ถ้าหากข้าพเจ้า มีกุศลที่ได้เคยสร้างสมไว้แล้ว ดังที่พระผู้มี่พระภาคเจ้า ทรงบำเพ็ญบุญมารมีไว้ เพื่อการตรัสรู้ ในอนาคตกาล ฉันใด ก็ขอให้ข้าพเจ้าจงได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นในโลกนี้ฉันนั้น เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ และกระทำ ประโยชน์โปรดเวไนยสัตว์ทั้งปวงในสากลโลก”
เมื่อพญามารได้เปล่งวาจาปรารถนาพุทธภูมิจบลง ท่านพระอุปคุต ก็ได้แสดงกาย ให้ปรากฎแล้วเดินเข้าไปแก้มัดให้ ในทันที ต่อจากนั้นท่านก็ได้ให้โอวาทแก่พญามาร ให้ละจิตอันเป็นบาปเสีย อย่าได้กระทำกรรม อันหยาบช้า ต่อไปอีกเลย และนับตั้งแต่นั้นมา พญามารก็มีจิตอ่อนน้อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา ไม่มีความดุร้าย เหมือนดังแต่ก่อน นี่เป็นเพราะฤทธานุภาพของท่านพระอุปคุตโดยแท้ จึงทำให้พญามารได้ละพยศหมดความดุร้าย และกลับใจมาปรารถนาพุทธภูมิ
บางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พญามารจึงไม่ได้สำนึก ทำไมมาได้สำนึก ในสมัยของพระอุปคุต เรื่องนี้มีเหตุผลอยู่ว่า พระอุปคุต กับพญามาร เคยเป็นคู่ปรับกันมา และพระพุทธเจ้า ก็เคยพยากรณ์ไว้แล้ว ว่า หลังจากพระองค์ดับขันธ์ไปแล้วจะมีพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์รูปหนึ่ง เป็นผู้มาปราบพญามารตนนี้
ตรงนี้แหละ จึงเชื่อกันว่า อุปสรรคใด ๆ จะไม่ยิ่งไปกว่าพญามาร เมื่อพระอุปคุตสามารถปราบพญามารได้ มารอื่น ๆ ย่อมไม่มีฤทธิ์เหนือพญามาร ผู้ที่ต้องการชนะอุปสรรค ชนะมารที่มาผจญชีวิต หรือธุรกิจการค้าขายของตน ก็มักบูชาพระอุปคุตอยู่เป็นประจำ

กำเนิด ประวัติ เรื่องราวความเป็นมา พระอุปคุต - คัมภีร์อโศกอวทาน







เรื่องราวความเป็นมาของท่าน จากที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์อโศกอวทาน มีกล่าวไว้ว่า พระอุปคุตเถระ ท่านถือกำเนิด มาในตระกูลของพ่อค้า ที่เมืองมถุราซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำยมุนา ท่านมีพี่ชาย 2 คน ส่วนท่านนั้น เป็นคนสุดท้อง มูลเหตุที่ทำให้พระอุปคุตได้บวชนั้น ก็สืบเนื่องมาจาก บิดาของท่าน ได้เคยให้สัญญาไว้กับ พระเถระรูปหนึ่ง คือ พระสาณวาสี ว่าถ้าตนมีลูกชาย ก็จะให้บวชในพระพุทธศาสนา ทีนี้พอมีลูกชายคนแรก ก็ไม่ยอมให้บวช ด้วยอ้างว่าจะต้องเอาไว้ดูแลทรัพย์สิน ในเหย้าเรือน เอาไว้ถ้ามีลูกชายคนที่ 2 เมื่อไร แล้วจะยอมให้บวช แต่พอมีลูกชายคนที่ 2 เข้าจริง ๆ ก็หาเรื่องบิดเบือนอีก ว่ามีความจำเป็น ต้องเอาไว้สำหรับ ทำธุระตามหัวเมือง ขอให้รอไว้มีลูกชายคนที่ 3 แล้วจะต้องบวชให้อย่างแน่นอน
พอลูกชายคนที่ 3 ซึ่งมีชื่อว่า “อุปคุต” เกิดมาก็แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้กับสัญญาที่ได้ให้ไว้กับพระเถระ พระเถระท่านเห็นว่า ยังไม่ถึงเวลา ท่านจึงนิ่งไว้ก่อน และก็ไม่ได้ไปทวงถามถึงสัญญานั้น จนกระทั่งอุปคุตโตเป็นหนุ่ม
ตอนนั้นอุปคุตได้มาช่วยบิดาขายเครื่องหอมอยู่ที่ร้านในตลาด ตั้งแต่อุปคุตมาอยู่ที่ร้าน ก็ปรากฎว่า เครื่องหอม ขายดิบขายดี เป็นเทน้ำเทท่า ผู้คนมาซื้อหากันไม่ขาดสาย นี่เป็นธรรมดาของผู้มีบุญไปอยู่ที่ไหน ทรัพย์สิน ก็จะหลั่งไหลมา ด้วยอำนาจแห่งบุญ
เพราะฉะนั้นจึงเชื่อกันว่า ผู้ที่ค้าขาย หากได้บูชาพระอุปคุตเป็นประจำทุกเช้าตอนเปิดร้าน ก็จะทำให้ค้าขายดี มีคนมาซื้อหาไม่ขาดสายทรัพย์สิน ก็จะหลังไหลมาเทมา กิจการเจริญก้าวหน้าเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป
วันหนึ่งพระสาณวาสีเถระ ได้แวะเข้าไปในร้านที่อุปคุตขายของ และได้กล่าวธรรมกถาให้อุปคุตฟัง ปรากฏว่า อุปคุตฟังแล้ว เกิดสังเวช ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น ในพระพุทธศาสนา เมื่อพระสาณวาสีเถระเห็นว่า อุปคุตได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว จึงได้ไปทวงสัญญากับนายพาณิชย์ ผู้เป็นพ่อของอุปคุต “ไหนว่าจะถวายลูกชายคนที่ 3 แก่อาตมา เพื่อให้บวชยังไงล่ะ” พอนายพาณิชย์ถูกทวงถามเช่นนั้น ก็อับจนปัญญา ไม่อาจหาวิธีพูดบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงได้อีก จึงตัดสินใจอนุญาตให้อุปคุตออกบวชได้

กิตติศัพท์ขจรขจาย
เมื่ออกบวชแล้ว ท่านพระอุปคุตก็ตั้งใจเจริญกรรมฐาน จนได้บรรลุพระอรหันต์ เป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุด ในพระพุทธศาสนา และต่อมาท่านพระอุปคุต ก็ได้เป็น พระอาจารย์สอนกรรมฐานที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มากที่สุด ในยุคนั้น โดยในคัมภีร์ได้กล่าวว่า ท่านมีพระอรหันต์ผู้เป็นศิษย์อยู่ถึง 18,000 รูป ส่วนสำนักของท่าน ตั้งอยู่ ณ วัดนตภัติการาม ภูเขาอุรุมนท์

ศรัทธาของพระเจ้าอโศก
กิตติศัพท์ด้านความรู้ความสามารถของท่านได้แพร่สะพัดไป จนทราบถึงพระกรรณของพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ จึงตั้งพระทัย จะเสด็จไปอาราธนา ท่านพระอุปคุตให้มาโปรดยังกรุง ปาฏลีบุตร
แต่วิสัยของพระอรหันต์ผู้ยิ่งด้วยอภิญญาเฉกเช่นท่านพระอุปคุตนั้น เพียงแค่พระเจ้าอโศกทรงดำริเท่านั้น ท่านก็ทราบแล้ว จึงได้รีบลงเรือเดินทางมาสู่กรุงปาฏลีบุตรในทันที ฝ่ายพระเจ้าอโศก เมื่อทรงทราบว่า ท่านพระอุปคุต ได้เดินทางมาแล้ว จึงได้โปรดให้ตั้งพิธีต้อนรับ และเสด็จมารับ ท่านพระอุปคุต ด้วยพระองค์เอง อันเป็นตำนาน ที่ปรากฎอยู่ ใน คัมภีร์อโศอวทาน

ตำนาน พระอุปคุต
















จากการค้นหาข้อมูลของพระอุปคุตนั้น เราทราบเพียงว่า ท่านเกิดหลัง พระพุทธเจ้า เสด็จปรินิพพานแล้ว ประมาณ พ.ศ. 218 ปี แต่ไม่ทราบ ภูมิเดิมของท่านละเอียด ว่าเป็นบุตรของใคร เกิดในวรรณะอะไร และที่ไหน

จากการสันนิษฐานตามตำนาน พระเถระอุปคุต น่าจะเป็นชาวเมืองปาตลีบุตร เมื่อบวชแล้วบำเพ็ญเพียร จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ สำเร็จอภิญญาต่างๆ จนสามารถแสดงอภินิหาร เป็นที่เล่าลือมาจนทุกวันนี้ มีปฏิปทาดำเนินไปในทางสันโดษ มักน้อย นัยว่าท่านเนรมิตเรือนแก้ว (กุฏิแก้ว) ขึ้นในท้องทะเลหลวง (สะดือทะเล) แล้วก็ลงไปอยู่ประจำ ที่กุฏิแก้วตลอดเวลา เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา หรือเมื่อมีพิธีกรรมใหญ่ๆ หรือมีผู้นิมนต์ ท่านก็จะขึ้นมาช่วยเหลือ ด้วยความเต็มใจเสมอ สรุปรวมความได้ว่า ท่านเป็นพระเถระสำคัญองค์หนึ่ง ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (ผู้นำกองทัพธรรมแผ่กระจายไปทั่วโลก) เป็นพระเถระผู้เปี่ยมด้วยพุทธานุภาพ และฤทธิ์เดชเกรียงไกร สามารถปราบพญามารและกำจัดสิ่งชั่วร้าย ที่จะมาทำลายพิธีกรรมใหญ่ ๆ มาแต่ครั้งโบราณเรื่องราวก็มีอยู่ว่า เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 2 หลังพุทธปรินิพพาน ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ภาคใต้อินเดีย) พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ครองราชสมบัติในขณะนั้น ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ตามตำนานกล่าวว่า ได้ทรงสร้างพระวิหารและพระสถูป มากมายทั่วทั้งชมพูทวีป (เค้าว่ามากถึงแปดหมื่นสี่พันองค์) เป็นผู้รวบรวมและขุดค้นพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อจะนำไปบรรจุในสถูปที่พระองค์ทรงสร้างไว้ทุกแห่ง เมื่อการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงปรารภ ที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภช พระสถูปเจดีย์ทั้งหมดนั้น เป็นการมโหฬารยิ่ง ตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน และเพื่อให้การฉลองสมโภช เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปราศจากอุปสรรค จึงใคร่จะอาราธนาพระสงฆ์ขีณาสพ ที่ทรงอิทธิฤทธิ์ มาเป็นผู้คุ้มครองงาน ให้ปราศจากการรบกวนจากมารร้ายต่าง ๆ แต่พระสงฆ์ในนครปาตลีบุตร ไม่มีรูปใดที่จะสามารถ เป็นผู้คุ้มครองงานมหกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ ให้พ้นจากภัยทั้งหลายทั้งปวงได้ (โดยเฉพาะภัยจากพญาวัสสวดีมาร ผู้มีฤทธิ์ยิ่งกว่าภูตผีปีศาจทั้งหลาย) นอกเสียจากพระอุปคุตเถระผู้เดียวเท่านั้น พระสงฆ์ทั้งปวงจึงตั้งตัวแทน ๒ รูป ลงไปอาราธนาพระอุปคุตเถระผู้เรืองฤทธิ์ มาช่วยรักษาความปลอดภัย ในงานสมโภชครั้งนี้ ซึ่งกล่าวกันว่า พระอุปคุตเถระองค์นี้ มีปกติสันโดษอยู่องค์เดียว เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุข อยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ภายในปราสาทแก้วที่เนรมิตขึ้น เหนือรัตนะบัลลังก์ จะออกจากสมาบัติ เหาะขึ้นมาบิณฑบาต ในโลกมนุษย์ ในวันพุธเพ็ญกลางเดือนเท่านั้น
และในครั้งนี้เอง พระอุปคุตเถระ ถูกพระภิกษุสองรูป ผู้ได้อภิญญาสมาบัติ ชำแรกมหาสมุทร ลงมาถึงตัวท่านแจ้งว่า ให้ท่านจงเป็นธุระ ป้องกันพญามารอย่าให้รบกวนงานฉลองพระสถูปเจดีย์ ของพระเจ้าอโศกมหาราชได้ เมื่อพระอุปคุตเถระได้รับนิมนต์ ก็เดินทางมานมัสการ และรายงานตัวต่อคณะสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้เสด็จเข้ามานมัสการคณะสงฆ์ เพื่อขอทราบเรื่อง ผู้จะที่จะมาทำหน้าที่รักษาการ งานฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ เมื่อพระองค์ทรงทราบ ว่าผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้ คือพระอุปคุตเถระ ก็ทรงนึกแคลงพระทัย เนื่องจากพระอุปคุตเถระนั้น มีร่างกายผ่ายผอมดูอ่อนแอ ก็ทรงไม่แน่ใจ เกรงจะทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ แต่ไม่ทรงตรัสว่ากระไร ครั้นรุ่งเช้าวันใหม่ ขณะที่พระอุปคุตหาเถระ ออกบิณฑบาตในนครปาตลีบุตรนั้น พระเจ้าอโศกมหาราช ใคร่จะทดสอบฤทธิ์พระเถระ จึงทรงปล่อยช้างซับมัน (ช้างตกมัน) ให้เข้าทำร้ายพระเถระ พระมหาอุปคุตเถระเห็นดังนั้น จึงสะกดช้าง ที่กำลังวิ่งเข้ามา ให้หยุดอยู่กับที่ ไม่ไหวติงประดุจช้างที่สลักด้วยศิลา พระเจ้าอโศกมหาราช ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงเลื่อมใส จึงเสด็จไปขอขมาพระเถระ พระมหาอุปคุตเถระ ก็ให้อภัยทั้งแก่พระเจ้าอโศกมหาราช และพญาคชสารเมื่อเห็นว่าพระอุปคุตเถระ มีฤทธิ์เดชมาก พระเจ้าอโศกมหาราช ก็ทรงวางพระทัย ตรัสสั่งให้เตรียมฉลองสมโภช พระสถูปเจดีย์ทั้งหมด ด้วยการปลูกปะรำร้านโรง ประดับธงทิว และประทีปโคมไฟ ตลอดระยะทางกึ่งโยชน์ ทำให้ตามแนวฝั่งแม่น้ำคงคา สว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ บรรลุฤกษ์งามยามดีตามที่กำหนดไว้ บรรดาพระสงฆ์ขีณาสพ และพระสงฆ์ปุถุชน ตลอดจนพุทธศาสนิกชน ทั้งในนครปาตลีบุตร และต่างแดนจากจตุรทิศ ก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริเวณงาน พร้อมเครื่องสักการบูชา เพื่อร่วมพิธีฉลองสมโภช พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในมหาเจดีย์ และเจดีย์ ทั้งแปดหมื่นสี่พันองค์ ด้วยความเลื่อมใส ศรัทธาเป็นอย่างยิ่งและในเวลานี้เอง พญามาร (พญาวัสสวดีเทพบุตรมาร) ก็มุ่งหน้าเข้ามาในงานกับเค้าเหมือนกัน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะก่อความวุ่นวาย ต่างๆ นานา ทั้งบันดาลให้เกิดลมพายุ ทั้งแปลงร่างเป็นสัตว์ป่า และสัตว์หิมพานต์ แต่ทุกครั้งก็โดนพระอุปคุตเถระ กำราบได้หมด และสุดท้าย เพื่อให้พญามาร ออกไปจากบริเวณพิธี พระอุปคุตเถระ จึงเนรมิตร่างหมาเน่าขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วดึงประคตจากเอวของท่าน ออกมาผูกร่างหมาเน่านั้น คล้องคอพญามารไว้ แล้วสำทับว่าไม่ว่าใครก็ตาม (นอกจากท่านเอง) จะเอาหมาเน่านี้ออก จากคอพญามารไม่ได้ แล้วขับพญามารออกไป จากบริเวณงานทันที ด้วยความอับอาย พญามารก็ออกมาจากบริเวณงาน และพยายามแก้ร่างสุนัขเน่า ออกด้วยฤทธานุภาพ แต่ทำอย่างไร ก็ไม่สามารถแก้ได้ เพราะเมื่อเอามือทั้งสอง ต้องสายประคตที่คล้องคอทีไร ต้องมีไฟลุกขึ้นไหม้คอ และมือทันที สุดจะแก้ไขด้วยตนเองได้ ก็ไปหาที่พึ่งอื่น (ที่คิดว่าน่าจะช่วยได้)
แต่ถึงแม้จะไปหาท้าวมหาราชทั้งสี่ พระอินทร์ ท้าวยามา ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมิตเทวราช ตลอดจนท้าวสหัสบดีพรม ก็ไม่มีใครสามารถช่วยได้ ต่างได้แต่แนะนำว่า ให้พญามารไปขอขมา และขอความเมตตา จากพระเถระผู้นั้นเสียดีกว่าพญามารเห็นดังนั้น จึงจำใจต้องกลับไปหาพระเถระ อ้อนวอน ให้ช่วยเอาซากหมาเน่าออกจากคอให้ แล้วจะไม่มารบกวน การจัดงานอีก พระอุปคุตเถระก็อนุโลมตาม แต่ยังไม่ไว้ใจพญามารนัก เกรงพญามาร จะกลับมาทำลายพิธีในภายหลัง จึงเดินนำพญามาร ไปยังเขาใหญ่ลูกหนึ่ง แล้วเอาร่างหมาเน่าทิ้งลงเหว และเนรมิตให้สายประคตยาวขึ้น แล้วพันคอพญามาร ไว้กับเขาลูกนั้น พร้อมทั้งแจ้งว่า เมื่อเสร็จพิธีฉลองสมโภช พระมหาเจดีย์สิ้นสุดลงแล้ว จึงจะแก้โซ่ออก ปล่อยให้พญามารเป็นอิสระ (7 ปี 7 เดือน 7 วัน) เวลาผ่านไปตามที่ตกลงกัน การจัดงานสมโภชน์ ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พระอุปคุตเถระ จึงกลับมาหาพญามาร โดยแอบอยู่ห่างๆ เพื่อฟังเสียงพญามารว่า ละพยศร้ายหรือยังพญามารเอง เมื่อจากทิพยวิมานอันบรมสุข มารับทุกขเวทนาเช่นนี้ ก็ละพยศร้ายในสันดาน หวนนึกถึงพระพุทธโคดม จึงกล่าวสดุดี ในความเมตตากรุณา ของพระพุทธเจ้า ในเรื่องที่ทรงมีมหากรุณาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ว่า “ทรงบำเพ็ญสิ่งอันเป็นที่สุดหามิได้ เป็นที่พึ่งพำนักแก่สัตว์โลกทั้งมวล ในกาลทุกเมื่อ พระองค์นั้น เป็นผู้ประเสริฐหาผู้เสมอเหมือนมิได้ อนึ่ง ในกาลก่อน ข้าพเจ้าได้ทำร้ายพระองค์ โดยประการต่างๆ แต่พระองค์ ก็ยังทรงมหากรุณาธิคุณ มิได้กระทำการโต้ตอบ แก่ข้าพเจ้าเลย มาบัดนี้ สาวกของพระองค์นามว่าอุปคุต ไม่มีเมตตาแก่ข้าพเจ้าเลย กระทำกับข้าพเจ้า ให้ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส และได้รับความอับอาย เป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าข้ายังมีบุญกุศล ที่ได้สั่งสมไว้แต่กาลก่อน ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ปรารถนาเป็นพระสัพพัญญูในอนาคต ดังเช่นพระองค์ต่อไป”

กล่าวได้ว่า การตกระกำลำบากในครั้งนี้ ทำให้พญามาร ซึ่งความจริงแล้ว ในอดีตชาติ (ในยุคของพระกัสสปพุทธเจ้า) เคยมีจิตตั้งมั่น ที่จะบำเพ็ญเพียร ให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นกัน แต่ที่ได้กระทำการขัดขวาง พุทธศาสดาของพระพุทธโคดม ก็ด้วยความริษยา พระพุทธโคดม (มีมิจฉาทิฐิ) เนื่องด้วยพระองค์ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนตน ทั้งๆ ที่ตนบำเพ็ญบารมี มามากพอสมควรเหมือนกัน แต่การกระทำในแต่ละครั้ง ก็มิได้ล่วงเกิน ทำบาปหนักแต่ประการใด เมื่อพระอุปคุตเถระ ได้ยินคำปรารภดังนั้น ก็เห็นว่าพญามารสิ้นพยศแล้ว จึงแก้โซ่ออก ปล่อยให้พญามารเป็นอิสระ พร้อมทั้งขอขมาพญามาร และบอกว่า การกระทำครั้งนี้ ก็เพื่อให้พญามาร ระลึกได้ถึงพุทธภูมิ ที่ท่านเคยปรารถนาไว้เท่านั้นเอง มิได้มีเจตนา ที่จะล่วงเกินประการใด ซึ่งพญามารก็เข้าใจด้วยดี
พระอุปคุต เขมร
ต่อจากนั้นพระเถระ ก็ได้ขอให้พญามาร เนรมิตกาย เป็นพระพุทธองค์ เพื่อจะได้เห็น เป็นพุทธานุสติบ้าง ซึ่งพญามารก็รับคำ แต่ขอร้องว่า เมื่อเห็นเขาเนรมิตกาย เป็นพระพุทธองค์แล้ว อย่าหลงกราบไหว้เป็นอันขาด เพราะจะให้เขาบาปหนัก ครั้นเมื่อพญามารเนรมิตกาย เป็นพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ และฉัพพรรณรังสี อันวิจิตร มีพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา แวดล้อมด้วย มหาสาวกทั้งหลายเป็นบริวาร เสด็จเยื้องย่าง ด้วยพุทธลีลาอันงดงามยิ่ง พระเถระ และบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย เห็นเช่นนั้น ก็ลืมตัวพากันถวายนมัสการ ทำเอาพญามารตกใจ รีบคืนร่างเดิม และท้วงติงว่า ทำให้ตนมีบาปหนัก แต่พระเถระ ก็กล่าวให้พญามารสบายใจว่า ทุกคนกราบไหว้พระพุทธเจ้า และพญามารก็ไม่บาปหรอก จะได้กุศลมากกว่า
พระอุปคุต ลงรักปิดทองเก่า
จากนั้นพญามาร ก็กลับคืนสู่สวรรค์ ชั้นที่ 6 วิมานของตน และนับแต่นั้นมา พญามารได้มีจิตอ่อนน้อมเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนา หมดสิ้นน้ำใจริษยา และบำเพ็ญบารมี เพื่อพุทธภูมิต่อไป หมายเหตุ เนื้อเรื่องได้กล่าวถึง พระพระกัสสปพุทธเจ้า ดังนั้นเพื่อความเข้าใจ ในการอ่าน ขอเสริมว่าตามตำนาน โลกเรานั้น แบ่งช่วงเวลาเป็นกัลป์ ซึ่งแต่ละช่วง ในแต่ละกัลป์ ก็จะมีพระพุทธเจ้า ที่มาตรัสรู้ โปรดบรรดาสัตว์โลก เป็นคราวไป ดังนั้นพระพุทธเจ้า จึงมีหลายพระองค์ ซึ่งเวลาหนึ่งกัลป์นั้นนานนัก (กัลป์ที่เราอยู่นี้ มีพระพุทธเจ้า มาตรัสรู้แค่ 5 พระองค์ และมีหลายๆ ช่วงในแต่ละกัลป์ ที่ปราศจากพระพุทธศาสนา โดยสิ้นเชิง ดังนั้นถือว่าเราโชคดีมาก ที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาในชาตินี้
ประวัติเพิ่มเติมตามตำนาน พระอุปคุต คัมภีร์อโศกอวทาน
ประวัติเพิ่มเติมตามตำนาน พระอุปคุต คัมภีร์ปฐมสมโพธิ์

เยี่ยมไร่ชั่งหัวมัน มหัศจรรย์สู้แล้ง

ฟอร์เวิร์ดเมล์ ไม่ทราบนามผู้เขียน จั่วหัวว่า "ชั่งหัวมัน...โครงการตามพระราชดำริ" หลายคนที่มีโอกาสได้อ่าน พูดเป็นเสียงเดียวกัน ทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่น ชุ่มชื่นอย่างบอกไม่ถูก ได้กลับบ้านเกิดในวันหยุดยาววันพ่อ คุณพ่อก็ชวนขับรถเที่ยวอำเภอเล็กๆ ในจังหวัดเพชรบุรี อย่างอำเภอท่ายาง ไม่ได้มีที่เที่ยวน่าสนใจไปกว่า ชะอำ หัวหิน จึงนึกไม่ออกว่าจะขับรถไปเที่ยวที่ไหนได้อีกนอกจากสองที่นั้นคำเชิญชวนต่อมาของพ่อ ชวนให้รู้สึกสนใจขึ้นไปอีก เพราะพ่อบอกว่า "ไปดูไร่ที่ในหลวงซื้อเอาไว้ไหม"พ่อเล่าต่อว่า ไร่นั้นอยู่ห่างไกลความเจริญ ถนนลาดยางยังเข้าไม่ถึง ไฟฟ้าไม่มี แต่พระองค์ท่านทรงปลูกบ้านอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว"บ้านมีสองหลัง หลังแรกของในหลวง หลังที่สองของพระเทพฯ ราชการทูลเกล้าฯถวายเลขที่บ้าน เลขที่ 1 กับเลขที่ 2" ฟังทีแรกก็ไม่เข้าใจว่า พระองค์ท่านจะไปซื้อที่ดินในที่ทุรกันดาร แถมยังปลูกบ้านไว้ที่นั่นทำไม ในเมื่อปัจจุบันพระองค์ท่านก็อยู่ที่หัวหินเป็นกิจจะลักษณะแล้วแถมพ่อยังบอกอีกว่า ขับรถเข้าไปในที่ดินได้เลยนะ ทหารเขาให้เข้า...ก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เราจะเข้าไปขับรถเล่นในเขตพระราชฐานกันได้ยังไง จากตัวอำเภอท่ายาง ขับเลี้ยวเข้าไปทางตำบลเขากระปุก ถนนเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยไร่นา"นั่งมองต้นไม้ไปได้สักครู่ สองข้างถนนก็เริ่มมีธงชาติ ธงเหลือง ธงฟ้า และธงม่วง พร้อมตราสัญลักษณ์ของแต่ละพระองค์ (ราชาศัพท์เรียกอะไร?) ติดเต็มไปตลอดทาง"ดูจากเสาธงก็รู้ว่าเป็นธงที่ชาวบ้านช่วยกันทำขึ้นอย่างตั้งใจเพื่อรับเสด็จ ข้างๆ ธงมีร่องรอยตะเกียงน้ำมันอย่างง่าย...หรืออาจเรียกได้ว่าคบไฟ"ใจของผมคิดว่า ชาวบ้านคงทำไว้เพื่อรอรับเสด็จในเวลากลางคืน" ยิ่งขับรถมาไกล ลึกวนเข้าไปเหมือนจะถึงชายเขา แต่ทั้งธงและคบไฟก็บ่งบอกได้ว่า...ข่าวของพ่อไม่ผิด เรากำลังใกล้ไร่ของในหลวงเข้าไปทุกขณะนริศในขณะที่นั่งชมทิวธงและคบไฟไปได้จนเริ่มง่วง ถนนลาดยางก็เปลี่ยนเป็นถนนลูกรัง ฝุ่นคลุ้งตลบ แต่เราคงมาไม่ผิดทางแน่ เพราะทิวธงยังคงอยู่ มองไปแต่ไกลเห็นภูเขาขนาดย่อมอยู่ตรงหน้า กังหันผลิตไฟฟ้าประมาณสิบกว่าต้น สูงเด่น มีรถทะเบียนกรุงเทพฯวิ่งสวนมาเป็นระยะ ฝุ่นฟุ้งกระจายเต็มถนนแคบรั้วลวดหนามทอดตัวยาวไกล ต้นไม้หลากหลายชนิดเรียงตัวเป็นระเบียบอยู่ในนั้น เขื่อนดินขนาดใหญ่ พร้อมศาลาเก้าเหลี่ยมสูงเด่น "เราเดินทางมาถึงไร่ของในหลวงกันแล้ว"แลกบัตรที่ป้อมทหารทางเข้าเรียบร้อย เลี้ยวรถเข้าไป...ก็ถึงบางอ้อ ที่ดินจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ว่า ไม่ใช่ไร่ที่ซื้อเอาไว้หลบหนีความวุ่นวายในเมืองหลวง หรือใช้ตากอากาศ แต่มันคือที่ดินเพื่อใช้เป็นโครงการในพระราชดำริ ที่มีชื่อมันๆว่า... "โครงการชั่งหัวมัน"ดูจากวันที่ตั้งโครงการ ระบุว่า วันที่ 1 สิงหาคม 2552 คาดว่า...น่าจะเป็นโครงการล่าสุดเลยทีเดียว "พอได้เดินเข้าไปในโครงการ บอกตรงๆว่ารู้สึกซาบซึ้งมาก เพราะไม่นึกว่าในหลวงที่เราเห็นในทีวี ยังมีพระทัย...มีไฟ ริเริ่มโครงการใหม่ๆในถิ่นที่อยู่ ห่างไกลความเจริญอยู่ตลอดเวลา ไม่มีหยุด" ผมว่านี่คือเรื่องราวดีๆ...ไม่กี่เรื่องในรอบปีที่ได้รู้ แล้วก็อยากเอามาเล่าต่อเอ่ยชื่อโครงการ "ชั่งหัวมัน" หลายคนอาจจะตีความไปต่างๆนานา ดิสธร วัชโรทัย รองเลขาธิการพระราชวัง ให้ข้อมูลถึงที่มาโครงการชั่งหัวมันว่า ครั้งพระเจ้าอยู่หัวประทับที่พระราชวังไกลกังวล ทรงมีพระประสงค์ ให้นำมันเทศที่ชาวบ้านนำมาถวาย วางไว้บนตาชั่งแบบโบราณ แล้วพระองค์เสด็จ พระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ "พอพระองค์เสด็จพระราชดำเนินกลับไปยังพระราชวังไกลกังวล จึงพบว่า มันเทศที่วางไว้บนตาชั่งมีใบงอกออกมา พระเจ้าอยู่หัวจึงรับสั่งให้นำหัวมันต้นนั้นไปแยกกระถางปลูกไว้ในวังไกลกังวล แล้วทรงมีพระราชดำรัสให้หาพื้นที่เพื่อทดลองปลูกมันเทศ"โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ เป้าหมายต้องการให้เป็นศูนย์รวมพืชเศรษฐกิจของ อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี โดยเลือกพันธุ์พืชท้องถิ่นที่ดีที่สุดเข้ามาปลูก โดยให้ภาครัฐกับชาวบ้านร่วมดูแลด้วยกัน เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิด ปลูกพืชสวนครัว อาทิ มะเขือเทศ มะเขือเปราะ พริก กะเพรา โหระพา มะนาวแป้น ผักชี ผลไม้...ก็มี สับปะรดปัตตาเวีย แก้วมังกร มะละกอแขกดำ มะพร้าวน้ำหอม มะพร้าวแก่ ชมพู่เพชรสายรุ้ง กล้วยน้ำว้า กล้วยหักมุก พืชเศรษฐกิจ ได้แก่ อ้อยโรงงาน มันเทศญี่ปุ่น มันเทศออสเตรเลีย มันต่อเผือก มันปีนัง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวเหนียวพันธุ์ซิวแม่จัน ข้าวเจ้าพันธุ์ข้าวหอม ข้าวเจ้าพันธุ์ลีซอ ข้าวเจ้าพันธุ์ข้าวขาว ยางนา ยางพารา ชมพู่เพชรดิสธร บอกว่า โครงการชั่งหัวมันเป็นการบริหารทรัพยากรแบบบูรณาการ โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่ามากที่สุด ขณะเดียวกันก็พยายามเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยคาดว่าอนาคตจะเป็นอีกแหล่งเรียนรู้ให้กับประชาชนโดยทั่วไปได้เข้าชมนริศ สมประสงค์ เจ้าหน้าที่งานในพระองค์ โครงการชั่งหัวมัน เสริมว่า แรกๆชาวบ้านสงสัยกันมาก ตั้งแต่ชื่อโครงการ...ชั่งหัวมัน "ชาวบ้านตีความชื่อโครงการกันพอสมควร แรกๆก็ตีความออกไปทางการเมือง พระองค์ท่านเบื่อแล้ว...ก็ต้องชี้แจงทำความเข้าใจว่า ไม่ใช่อย่างนั้น เหตุผลจริงๆคือหัวมันบนตาชั่งยังขึ้นได้ แล้วที่แห้งแล้งขนาดไหน มันก็ต้องขึ้นได้"ข้อสงสัยต่อมารวมไปถึงทำไมท่านมาซื้อที่ดินที่นี่ ซึ่งแห้งแล้งมากเหลือเกิน จะปลูกอะไรก็ลำบาก ติดปัญหาเรื่องน้ำราวเดือนกรกฎาคม ในหลวงเสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ครั้งแรกผืนดินมีแต่ป่ายูคาลิปตัส ชาวบ้านก็ยังไม่รู้ว่าในหลวงท่านมาซื้อที่ดินผืนนี้เอาไว้นริศ บอกว่า เราทุกคนคงทราบ อะไรที่ยากลำบากท่านโปรด ท่านจะทำให้ดู พิสูจน์ว่า...ทำได้ เพื่อจะได้เป็นแม่บทในการที่จะทำ เหมือนเป็นศูนย์กลางเรียนรู้ด้านเกษตรกรรมของชาวบ้านที่นี่ชัดเจนว่าโครงการ "ชั่งหัวมัน" ชาวบ้านจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่"ผืนดินโครงการชั่งหัวมัน ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้าน 2 ตำบล ตำบลกลัดหลวง ตำบลเขากระปุก มาช่วยกัน เกษตรอำเภอก็เข้ามาช่วยจัดสรรพื้นที่ ท่านดิสธรก็เข้ามาร่วมวางแผน จะให้ชาวบ้านปลูกอะไร..."ชั่งหัวมัน...อยากจะให้มีการร่วมมือร่วมแรงกันระหว่างชาวบ้าน ซึ่งทุกคนก็เต็มใจที่จะปลูกถวายให้พระองค์ท่าน เพราะอยากให้ท่านมีความสุขหน่อไม้ฝรั่ง ข้าวไร่ ข้าวโพด มะพร้าว แก้วมังกร กะเพรา พริก มะนาว ถูกจัดสรรลงแปลงปลูกอย่างรวดเร็ว เหมือนฝัน...ราวกับเนรมิต ทุกวันพฤหัสบดีจะมีการลงแขก ระดมชาวบ้านเพื่อมาดูแลแปลงผักที่จัดสรรเอาไว้ เก็บวัชพืช ส่วนเรื่องน้ำจะมีคนงานในไร่ ช่วยดูแลรดน้ำ เก็บพืชผล ส่งจำหน่ายที่ร้านโกลเด้นเพลส ทั้ง 7 สาขา...หัวหิน 2 สาขา กรุงเทพฯ 5 สาขาผลิตผลจากโครงการอีกส่วนหนึ่งก็จะถูกส่งไปที่ห้องเครื่อง วังสวนจิตรลดา และผลผลิตส่วนที่สาม ก็จะส่งไปที่ตลาดกลางการเกษตรอำเภอท่ายางวันนี้...ผลผลิตที่สร้างรายได้ให้มากที่สุด คือมะนาวพันธุ์พื้นเมือง "ในหลวงท่านทรงมีพระราชดำริว่า ไม่ต้องการให้ใช้สารเคมี หรือถ้าจะใช้ก็ใช้น้อยที่สุด มะนาวของพระองค์ท่าน ผิวจะไม่ค่อยสวย เรียกว่าเป็นมะนาวลาย แต่ผิวบางน้ำเยอะ เป็นที่ต้องการของตลาด...สนนราคาก็ขึ้นๆลงๆไปตามกลไกตลาด แต่ละวันไม่เหมือนกัน"นอกจากแม่แบบด้านการเกษตร ยังมี...กังหันลมผลิตไฟฟ้า ตามนโยบายรัฐบาลที่ใช้พลังงานทดแทน ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 5 กิโลวัตต์ต่อต้น ปัจจุบันมีทั้งหมด 20 ต้น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จะดำเนินการเข้ามารับซื้อพลังงานสะอาดที่ได้นี้ต่อไปไฟฟ้าพลังงานสะอาดไม่ได้ใช้หมุนเวียนในไร่ ผลิตได้เท่าไหร่ จะเอาไปหักลบกับพลังงานที่ใช้...ทุกเดือนจะมีเงินเหลือ การไฟฟ้าฯตีเช็คกลับคืนมา 3-4 ครั้งแล้วพื้นที่ทั้งหมดโครงการชั่งหัวมัน 250 ไร่ วันนี้ถึงจะยังไม่ถูกพัฒนาเต็มทั้งหมดทุกจุด แต่ในภาพรวมโครงการก็กำลังเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆอย่างเป็นรูปธรรม แค่เพียงไม่กี่เดือน ชั่งหัวมันยังเขียวขจีได้ขนาดนี้...หากผ่านไปเป็นปี หลายปี...พื้นที่ที่เคยแห้งแล้งทุรกันดารผืนนี้ คงจะกลายเป็นแหล่งเพาะปลูกชั้นยอด ขึ้นชื่ออันดับหนึ่ง ณ บ้านหนองคอกไก่ ต.เขากระปุก อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี.
ไทยรัฐออนไลน์
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์
6 กุมภาพันธ์ 2553, 05:00 น.
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง





เลขที่ 1 บ้านคอกไก่ โครงการชั่งหัวมัน

"...คนที่ไปดูได้เห็นว่า เริ่มต้นด้วยไม่มีอะไรเลยแต่ว่าต่อมาภายในวันเดียว ทุกคนที่อยู่ในท้องที่นั้นก็เข้าใจว่าต้องช่วยกัน และยิ่งในสมัยนี้ ในระยะนี้ เราต้องร่วมมือกันทำ เพราะถ้าไม่มีการร่วมมือกันก็ไม่ก้าวหน้า ไม่มีความก้าวหน้า ฉะนั้น การที่ท่านได้ทำแล้วมีความก้าวหน้านี้เป็นสิ่งที่ดีมาก หลักการก็อยู่ที่ทุกคนต้องช่วยกันเสียสละ เพื่อให้กิจการในท้องที่ก้าวหน้าไปด้วยดี ก้าวหน้าได้อย่างไร ก็ด้วยการช่วยเหลือกัน แต่ก่อนนั้นเคยเห็นว่ากิจการที่ทำมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งทำแล้ว ก็ทำให้ก้าวหน้า แต่อันนี้มันไม่ใช่
กลุ่มหนึ่ง มันทั้งหมดรวมกันทำ และมีความก้าวหน้าแน่นอน อันนี้ก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์และเป็นสิ่งที่ทำให้มีความหวัง มีความหวังว่าประเทศชาติจะก้าวหน้า ประเทศไทยจะมีความสำเร็จ" พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 21 สิงหาคม 2552 ครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปยังโครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ บ้านหนองคอกไก่ ต.เขากระปุก อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ศรราม ต๋องาม สมาชิก อบต.กลัดหลวง หมู่ 8 บ้านทุ่งโป่ง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี บอกว่า สมัยก่อน...ชาวบ้านก็ทำไร่กันแบบทั่วไป ผมเริ่มปลูกหน่อไม้ฝรั่ง 2 ไร่ 1 งานก็ปลูกกันไป...ทำกันมา เอาไปขายตลาดก็ถือว่าขายดี ราคาก็ดี "แต่ปัญหาสำคัญคือ...ขาดแหล่งน้ำ"ศรราม บอกว่า หน่อไม้ฝรั่ง จะต้องใช้คนงานมาก พอเริ่มต้นปลูก จะต้องดูแลเรื่องน้ำ ทำหญ้าให้เขา การใช้ปุ๋ย ใช้ยา ไม่มีวัชพืชใดๆทั้งสิ้นลงดินไปแล้ว 4 เดือน ถึงจะเก็บได้ แต่ในระยะนี้...ต้องหมั่นพรวนดิน ปักหลัก เอาเชือกขึง เพื่อไม่ให้ต้นล้ม...โยก ต้นจะให้หน่อได้สมบูรณ์"ถ้าปลูกแบบปล่อยไม่ดูแลอะไรเลย ต้นก็จะสูง ล้ม โยกเอน หน่อไม้ฝรั่งที่ออกมาก็จะไม่สวย"ครอบครัวศรรามปลูกหน่อไม้ฝรั่งมานานเกือบ 10 ปีเต็ม สั่งสมประสบการณ์เอาไว้หลายอย่าง พอรู้ข่าวว่าในหลวงมาซื้อที่ดินผืนนี้เอาไว้ ก็มีคำถามหลายข้อที่สงสัย...
สงสัยติดใจได้ไม่กี่วัน...วันที่ 13 กรกฎาคม คุณดิสธร วัชโรทัย ก็มาประชุม 26 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมชาวบ้าน 3 ตำบล กลัดหลวง เขากระปุก เขาไม้รวก...ชาวบ้านแต่ละคนได้รับการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ ศรรามเชี่ยวชาญเรื่องหน่อไม้ฝรั่ง ก็รับหน้าที่ปลูกหน่อไม้ฝรั่งในแปลงปลูกไร่ชั่งหัวมัน ศรราม บอกว่า การขาย...การทำการเกษตรแบบเดิมที่ทำกันมานาน ชาวบ้านบางคนอาจเรียกว่า...ทำแบบครูพักลักจำ บางทีจำไม่หมดก็จดไว้บ้าง แต่ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้จด"ทำไป...ก็ใช้ไปอยู่ตรงนั้น ทำแค่ให้อยู่ได้ มีกินมีใช้ ไม่ลำบาก ไม่ขัดสน ก็พอแล้ว"หน่อไม้ฝรั่งพื้นที่สองไร่กว่า เลี้ยงครอบครัว 7 ชีวิต อยู่ได้ เช่นเดียวกับการปลูกหน่อไม้ฝรั่งในแปลงชั่งหัวมัน ของพระองค์ท่าน แปลงนี้ ปลูกหน่อไม้ 5,200 ต้น...การเก็บเกี่ยวต่อวันจะอยู่ที่ 50-60 กิโลกรัมช่วงแรก ต้นยังเล็กขายกิโลกรัมละ 29 บาท แต่ตอนนี้ ขยับขึ้นมาเป็นกิโลกรัมละ 40 บาทแล้ว หน่อไม้ฝรั่ง มีอยู่ 3 เกรด เกรดเอ...บี...ซี แล้วก็เกรดรวม เกรดเอราคาสูงแต่ต้องคัดเฉพาะต้นใหญ่เท่าหัวแม่มือ แต่ที่ขายอยู่ทุกวันนี้เป็นเกรดซีเกรดรวม"ราคาหน่อไม้ฝรั่งที่ขายในท้องตลาดก็ขึ้นๆลงๆ ตามราคาตลาด"ย้อนไปก่อนหน้าที่ในหลวงจะมาซื้อที่ดินทำโครงการชั่งหัวมัน ตอนนั้นชาวบ้านทำการเกษตรแบบชาวบ้าน ไถดิน พรวนดิน แล้วก็ไม่มีที่จะเอาปุ๋ยมาบำรุงดิน ปรับปรุงหน้าดิน ไถเสร็จก็หาพืชพันธุ์มาปลูก แล้วก็ใช้สารเคมี ใช้ปุ๋ยกระสอบ"ปุ๋ยกระสอบ...ถามว่าได้ผลไหม ก็ได้ผลตอนที่ใส่ไปใหม่ๆ" ศรราม ว่า "ปุ๋ยเคมีจะมีคุณภาพช่วง 5 วัน...10 วัน หลังจากนั้น 15 วัน...1 เดือนคุณภาพก็เสื่อมลง ต้นไม้จะเหี่ยวแห้ง เหลือง ไม่เขียวขจีเหมือนที่เราใช้ปุ๋ยชีวภาพในปัจจุบัน"สภาพผืนดินที่บ้านคอกไก่ ถือว่าแห้งแล้งที่สุด ชาวบ้านทำการเกษตรกันแบบตามมีตามเกิด ตามฟลุก...ถ้าฝนดี น้ำมาก เราก็ได้ทำนานหน่อย ให้พืชผักอุดมสมบูรณ์ แต่ถ้าปีไหนฝนแล้ง ฝนธรรมชาติไม่มี ใช้น้ำหมดก็หมดกันว่างเว้น...จากการทำการเกษตร ก็พากันไปรับจ้าง พืชที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูก ก็จะมีหน่อไม้ฝรั่ง อ้อย สับปะรด ผักสวนครัว มะเขือเทศ พริก ถั่วฝักยาว แตง แฟง ข่า ตะไคร้"ผลผลิตจะมาก จะน้อย...ควบคุมอะไรไม่ได้เลย"ความเจริญ เขียวชอุ่มในไร่ชั่งหัวมัน กำลังแผ่ขยายไปสู่ไร่ชาวบ้านละแวกข้างเคียง และขยายวงไปเรื่อยๆ ศรราม บอกว่า โชคดีเป็นบุญวาสนาของพวกเรา ที่พระองค์มาซื้อดินไว้ที่นี่ ลงมาทำการเกษตร เป็นต้นแบบให้ชาวบ้านได้ดูเป็นตัวอย่าง"รู้ไหมว่าชาวบ้านปลาบปลื้มใจ ดีใจที่สุด"
การทำงานในช่วงเริ่มต้นโครงการชั่งหัวมัน ในฐานะชาวบ้านคนหนึ่ง เราร่วมแรงร่วมใจลอกอ่างเก็บน้ำหนองเสือ ปรับปรุงให้เก็บน้ำได้มากขึ้น...จาก 230,000 ลูกบาศก์เมตร เป็น 280,000 ลูกบาศก์เมตรแรกๆชาวบ้านพูดกันมาก ที่ดินแห้งแล้งขนาดนี้ น้ำก็น้อยมากๆ ในหลวงจะซื้อมาปลูกอะไร"ที่แปลงนี้...ชาวบ้านเจ้าของที่เดิมประกาศขายมาหลายปีแล้ว ไม่มีใครที่จะซื้อ ดูในหน้าโฉนด...แผนผังสวยดี ราคาไม่สูงจนเกินไป ทุกคนก็อยากจะซื้อ แต่พอมาเห็นพื้นที่จริง มีแต่ป่ายูคาฯ ป่ากระถินณรงค์...ก็ไม่มีใครอยากได้"ศรรามถือเป็นผู้เชี่ยวชาญการปลูกหน่อไม้ฝรั่งแถวหน้า แต่วันนี้ได้รับหน้าที่ ให้เป็นวิทยากรบรรยายให้กับผู้เข้ามาศึกษาดูงาน โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริศรราม บอกอีกว่า แต่จะเป็นคู่บุญบารมีของพระองค์ท่านก็ไม่ทราบ นับตั้งแต่วันที่ซื้อที่ดิน ชาวบ้านก็ร่วมแรงร่วมใจ ช่วยกันปรับปรุงทำ เนรมิตผืนดินของพระองค์ท่านให้เป็นสวนเกษตรเหมือนสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ"พืชผัก พืชพรรณที่ปลูกเอาไว้ เขียวขจี แล้วก็ได้รับผลประโยชน์กลับคืนมาในการจำหน่าย มะนาวก็ดก...น้ำเยอะ หน่อไม้ฝรั่งก็งาม งามกว่าที่ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงปลูกได้มากๆ เราเห็น เราทำกับมือ...ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ชาวบ้านทุกคนก็เห็นเหมือนๆกัน"
ศรรามสิ่งที่เกิดขึ้น การทำเกษตรถ้าใช้ปุ๋ยเคมี ก็ต่างกับการใช้ปุ๋ยชีวภาพ...ปุ๋ยเคมีงามชั่วเวลาที่ปุ๋ยมีคุณภาพ แต่ถ้าหมดฤทธิ์ เสื่อมโทรมแล้วมันก็ไม่ทำให้พืชผักงามอยู่ตลอด โครงการชั่งหัวมัน ใช้ปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยหมักบำรุงต้นใบอย่างผสมผสาน ปรับพื้นดิน ทำให้ดินร่วนซุยอยู่ตลอด จะปลูกอะไรก็ราวกับว่าผืนดินผืนนี้เป็นผืนดินมหัศจรรย์ชาวบ้านข้างเคียงเขาก็ได้รับอานิสงส์ ได้เรียนรู้ ได้ลงมือทำตามกันจริงๆ ไม่เฉพาะแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังเป็นการทำจริงๆให้กับตัวเอง ลดการลงทุนในการซื้อปุ๋ยเคมีกระสอบละ 1,000 กว่าบาท "ปุ๋ยชีวภาพ ราคาต่ำแต่ได้ผล เก็บผลผลิตพืชผลได้มาก ได้มารู้ ได้มาเรียน ได้มาทำตาม ตอนนี้ชาวบ้านข้างเคียง ก็ทำแบบเดียวกับโครงการชั่งหัวมัน เหมือนลูกเดินตามรอยพ่อ"ประเด็นประทับใจสุดท้าย ในไร่ชั่งหัวมัน นริศ สมประสงค์ เจ้าหน้าที่งานในพระองค์ โครงการชั่งหัวมัน บอกว่า ชาวบ้านทั่วไปเห็นบ้านในโครงการ ก็พูดกันว่า ในหลวงทรงสร้างบ้านเอาไว้ด้วย มีเลขที่บ้าน... "เลขที่ 1" "ต้องบอกก่อนนะครับว่า เป็นความเข้าใจของชาวบ้าน คิดว่าท่านมาประทับที่นี่ แต่ศาลาทรงงาน เรือนที่ประทับ ที่สร้างไว้ท่านยังไม่ได้มาประทับ เนื่องจากตอนแรกยังสร้างไม่เสร็จเรียบร้อยดี ปัจจุบันเรียบร้อยดีแล้ว รอท่านเสด็จกลับมาอีกครั้ง"บ้านในหลวงที่ชาวบ้านเข้าใจ คือ เรือนรับรองที่ประทับ เลขที่ 1 บ้านหนองคอกไก่ ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีเป็นความปลาบปลื้มของเกษตรกรท่ายาง ที่ในหลวงท่านมาประทับ มาซื้อที่ดินและยังขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกรของอำเภอท่ายางอีกด้วยนริศ บอกว่า ไปส่งมะนาวที่ตลาด คนในตลาดก็ดีใจ เหมือนเราได้มาในฐานะตัวแทนของไร่ในหลวง แม่ค้า...พ่อค้าหลายคนก็เข้ามาถาม ไปไกลไหม อยู่ตรงไหน อยากจะเข้ามาดู มาเห็นด้วยตาศรราม ต๋องาม สมาชิก อบต.กลัดหลวง เสริมว่า บ้านในหลวง เลขที่ 1 ในไร่ชั่งหัวมัน ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็คิดว่า...จะต้องปลูกเป็นรั้ว เป็นวังมีตึกใหญ่โต พอมาเห็นจริงๆ ก็เหมือนบ้านทั่วไป ไม่ต่างกับชาวสวนชาวไร่คนหนึ่ง"ชาวบ้านทุกคนคงรู้สึกไม่ต่างกับผม โครงการชั่งหัวมัน เหมือนทำให้พ่อของแผ่นดิน บุกมาหาลูกในดง...ในป่า แน่นอนว่าลูกก็ปลาบปลื้มใจ จะพยายามทำทุกอย่าง เพื่อให้พ่อมีพระเกษมสำราญ มีความสุข".

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สั่งไก่วันตรุษจีน...บาปไหม


สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

ถาม : อย่างกรณีที่วันตรุษจีนเวลาถ้าเราซื้อเป็ดซื้อไก่ ผิดศีลข้อ ๑ อยู่แล้ว แต่กรณีที่เรารู้ว่าร้านนี้เขาขายเป็ดขายไก่วันตรุษจีนอย่างนี้ เราไปสั่งเขา ๆ ก็ไปซื้อของเขามาเอง เราจะบาปไหมคะ ?

ตอบ: ไม่ต้องเสียเวลาสั่งหรอก ไปถึงมันก็มีรออยู่บานเลย ถามว่าบาปไหม ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังไม่ห้ามเลย ท่านบอกว่าถ้าเป็นปวัตตมังสะ คือเนื้อที่เขาขายเป็นปกติอยู่แล้ว ภิกษุฉันได้เพราะถึงเวลาเราไม่ได้ซื้อเขาก็ฆ่าอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นอุทสมังสะ คือเขาเจาะจงฆ่าเพื่อเรา ท่านบอกว่าถ้ารู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าเห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้ารังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเราปรับทุกคำที่กินอันนี้ของพระถ้าของฆราวาสเบากว่าเยอะ เราอย่าไปสั่งก็แล้วกันถึงเวลาตรุษสารทวางขายบานเบอะอยู่แล้ว ไปซื้อร้านไหนก็ได้ที่เขาเชือดไว้เรียบร้อยแล้ว มีอยู่ปีหนึ่งอยากรู้ว่าตรุษสารทแต่ละปี สัตว์จะตายมากเท่าไหร่ ก็ตั้งใจไปดูที่ตำหนักพระยายม เจ้าประคุณเถอะไม่ต้องนับกันเลยเป็นล้าน และที่แปลกใจมากก็คือมีวัวเยอะมาก มีวัวมีแพะเยอะมาก เอ๊ะ! เราก็แปลกใจวัวกับแพะมันเกี่ยวอะไรกับตรุษจีนว่ะ ต้องมาตายกับเขาด้วย ปรากฎว่าจริง ๆ แล้วมีคนจีนอยู่จำนวนมหาศาลที่เขากินวัวกินแพะเป็นปกติ พวกนี้จะอยู่ด้านมณฑลซินเกียงของจีน มณฑลซินเกียงใหญ่ประมาณ ๕ เท่าของประเทศไทย และ ๕ เท่าของประเทศไทยคนจะมีสักเท่าไหร่ ตีเสียว่าคนมี ๕ เท่าด้วย ก็คงประมาณ ๓๐๐ ล้านคน และมณฑลซินเกียงจะเป็นพวกเผ่าที่นับถืออิสลาม พวกเขาจะกินวัวกินแพะกินแกะเป็นปกติอยู่แล้ว แต่คราวนี้ตรุษสารทก็เยอะหน่อย ตอนแรกเห็นแล้วงงมากมันมีวัวมีแพะได้อย่างไร คนจีนเขาไม่กินวัวเราก็รู้ ส่วนใหญ่นับถือเจ้าแม่กวนอิมใช่ไหม ที่ไหนได้ฟาดกันเพลินเลย

นินทานั้นไม่มีโทษ...แก่ผู้ถูกนินทาเลย


ที่มา : การบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่ : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

นินทานั้นไม่มีโทษ...แก่ผู้ถูกนินทาเลยผู้ถูกนินทาพึงมีเหตุผลคำนินทาใดๆ ไม่อาจทำคนดีให้เป็นคนไม่ดีไปได้

คนจะดีก็เพราะกรรม คนจะเลวก็เพราะกรรม หาใช่จะดีเพราะสรรเสริญ หรือจะเลวเพราะนินทาก็หาไม่

ควรถือความจริงนี้เป็นสำคัญ และอย่าทำหรือไม่ทำอะไรเพราะกลัวนินทาหรือเพราะปรารถนาสรรเสริญ

อย่าทำอะไรก็ตามทุกอย่างที่แม้เพียงสงสัยว่าเป็นกรรมไม่ดี แต่จงทำอะไรก็ตามทุกอย่างที่พิจารณาแล้วตระหนักแน่ชัดว่าเป็นกรรมดีเท่ากัน

แม้ว่าการทำกรรมดีจะมีผู้นินทานินทานั้นไม่มีโทษแก่ผู้ถูกนินทาเลย ถ้าผู้ถูกนินทาไม่รับ คือไม่ตอบ เช่นเดียวกับผู้ถูกด่าไม่ด่าตอบ ผู้ถูกขู่ไม่ขู่ตอบ ผู้ถูกชวนวิวาทไม่วิวาทตอบ แต่คำนินทาว่าร้ายทั้งจะตกเป็นของผู้นินทาทั้งหมด ผู้นินทาคือผู้ทำกรรม ซึ่งเป็นกรรมไม่ดี ไม่ว่าผู้ถูกนินทาจะรับหรือไม่รับก็ตาม ผู้นินทาย่อมได้รับผลไม่ดีแห่งกรรมไม่ดีของเขาอย่างแน่นอนดังนั้นแม้เมื่อถูกนินทาแล้ว ก็ให้คิดว่าผู้นินทาเราได้รับการตอบแทนแล้ว คือได้รับผลของกรรมไม่ดี ซึ่งจะส่งผลให้ปรากฏช้าหรือเร็วเท่านั้น

ผลของกรรมไม่ดีนั้นแหละได้ตอบแทนเขาผู้นินทาแล้ว เราไม่มีความจำเป็นต้องตอบแทนแต่อย่างใดความเชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรมมีคุณอย่างที่สุด

ผู้ใดทำกรรมไว้จักได้รับผลของกรรมนั้น ความเชื่อเช่นนี้จักทำให้ไม่คิดร้ายตอบผู้คิดร้าย เป็นการระงับเวรภัยไม่ให้เกิดแก่ตน เป็นการป้องกันตนมิให้ทำกรรมไม่ดี ทั้งทางกายวาจาและใจ โดยมุ่งให้เป็นการแก้แค้นตอบแทน ผลจักเป็นความสงบสุขแก่ตนและแก่ผู้อื่นด้วย

พระบรมสารีริกธาตุ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ




"พระบรมสารีริกธาตุ" เป็น "ธาตุวิเศษ" เป็นปูชนียวัตถุพิเศษสุด ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ มีอานุภาพเป็นที่อัศจรรย์ ด้วยบังเกิดมาแต่ พระพุทธสรีระของพระพุทธองค์โดยตรง"พระบรมสารีริกธาตุ" จึงนับเป็นมงคลวัตถุอันสูงสุด ที่มนุษย์ เทวดา พรหม กราบสักการะบูชาด้วยความเคารพอย่างสูงสุดพระบรมสารีริกธาตุ ถ้ามีแล้วไม่ควรเปิดดูบ่อย บางครั้งท่านเสด็จไปที่อื่นบางครั้งท่านก็มาเยอะ ไม่แน่หรอก
ตามตำนานโบราณ ได้กล่าวว่ามีพระบรมสารีริกธาตุที่สำคัญ ๗ พระองค์ที่ได้อัญเชิญไปสักการะบูชาใน ๓ โลกได้แก่


๑. แดนพรหมโลก อัญเชิญ "พระธาตุรากขวัญ เบื้องขวา" ไปสักการะบูชา


๒. แดนเทวโลก ท้าวสักกะเทวราช อัญเชิญ "พระเขี้ยวแก้ว เบื้องขวาบน" ไปสักการะบูชา ณ พระจุฬามณีเจดีย์สถาน


๓. แดนนาคพิภพ จัดอยู่ในแดนเทวโลก อัญเชิญ "พระเขี้ยวแก้วซ้ายล่าง" ไปสักการะบูชา ประดิษฐาน ณ พระมหาเจดีย์ในนาคพิภพ


๔. แดนมนุษย์โลก มีพระบรมสารีริกธาตุองค์สำคัญ สักการะบูชาหลายประเทศหลายสถานที่ สำหรับประเทศไทย "พระรากขวัญ เบื้องซ้าย" และพระบรมสารีริกธาตุส่วนอื่นๆ หลังจากพุทธปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปเถระพร้อมพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ อัญเชิญเหาะมาทางอากาศ นำมามอบแด่พระเจ้าอุชุตราช ตามที่พระพุทธองค์ทรงมีพระบัญชาไว้ก่อนปรินิพพาน พระเจ้าอชุตราช ได้ทำการสักการะบูชาอย่างยิ่งใหญ่ สร้างเจดีย์ทองคำและอัญเชิญประดิษฐาน ณ พระมหาเจดีย์บนยอดเขาต่อมาพระราชโอรสของพระเจ้าอชุตราช คือพระเจ้ามังรายมหาราช ได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากพระอรหันต์ ก็สร้างพระมหาเจดีย์ติดกับของพระราชบิดา มีการบูชากันอย่างยิ่งใหญ่ ส่วนหนึ่งที่เป็นสัญญลักษณ์ และเป็นชื่อดอยมาจนถึงปัจจุบัน คือการบูชาด้วยธงที่ใหญ่และยาวมาก จนได้ชื่อว่า "พระบรมธาตุดอยตุง"


พระบรมสารีริกธาตุที่สำคัญ ที่เหลืออีก ๓ พระองค์ได้แก่ "พระอุณหิส" ประดิษฐานอยู่ในพระเจดีย์เมืองโยนกบุรี และทรงมีพุทธทำนายว่าดินแดนแห่งนี้(ประเทศไทย) จะสืบทอดพระพุทธศาสนาครบ ๕๐๐๐ ปี เป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก


อีกพระองค์คือ "พระเขี้ยวแก้ว ขวาล่าง" ประดิษฐาน ณ เกาะลังกา


"พระเขี้ยวแก้ว ซ้ายบน" ประดิษฐาน ณ เมืองคันธาระต่อมามีการอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ประเทศจีน สำหรับท่านได้ได้พระบรมสารีริกธาตุไปสักการะบูชา ควรจะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์มีความเคารพในพระรัตนตรัยด้วยความจริงใจ นึกไว้เสมอว่าชีวิตมีความตายเป็นที่สุดเราอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ จะได้ไม่ประมาทในชีวิต รีบเร่งทำแต่ความดี ท่านจะมีแต่ความสุขความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมพระคาถาบูชาพระบรมสารีริกธาตุตั้งนะโม ๓ จบ แล้วสวดบทบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ต่อจากนั้นสวดบท พระพุทธะชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ) จบแล้วสวดพระคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า ๙ จบหรือเท่าอายุก็ได้ ตามกำลังศรัทธา"อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนาพุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ"


คำนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ


ท่านที่มีจิตศรัทธานำไปสวดบูชาพระบรมสารีริกธาตุเป็นประจำก็จะเป็นสิริมงคล ต่อท่านและครอบครัวครับ* อิติปิโสภะคะว่า ลูกขอกราบบูชา คุณพระรัตนตรัยยกกรวันทา นอบน้อมบูชา ด้วยกาย วาจา ใจมือลูกทั้งสิบนิ้ว ยกเหนือหว่างคิ้ว ต่างธูปเทียนทองวงพักตร์โสภา ต่างมาลากรอง ดวงเนตรทั้งสอง ต่างประทีปถวายผมเผ้าเกล้าเกศ ต่างปทุมเมศ บัวทองพรรณรายเบ็ญจางคประดิษฐ์ กราบด้วยดวงจิต นอบน้อมบูชา* พระบรมธาตุ พระโลกนาถ อรหันตสัมมาทั้งสามขนาด โอภาสโสภา ทั้งหมดคณนาสิบหกทะนาน* พระธาตุขนาดใหญ่ สีทองอุไร ทรงพรรณสัณฐานเท่าเมล็ดถั่วหัก ตักตวงประมาณ ได้ห้าทะนาน ทองคำพอดี* พระธาตุขนาดกลาง ทรงสีสรรพางค์ แก้วผลึกมณีเท่าเมล็ดข้าวสารหัก ประจักษ์รัศมี ประมาณมวลมี อยุ่ห้าทะนาน* ขนาดน้อยพระธาตุ เท่าเมล็ดผักกาด โอภาสสัณฐานสีดอกพิกุล มนูญญะการ มีอยู่ประมาณหกทะนานพอดี* พระธาตุน้อยใหญ่ สถิตอยู่ในองค์พระเจดีย์ ทั่วโลกธาตุ โอภาสรัสมี ลูกขออัญชลี เคารพบูชา* พระธาตุพิเศษ เจ็ดองค์ทรงเดช ทรงคุณเหลือคณาอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เทพพิทักษ์รักษาลูกขอบูชา วันทาเป็นอาจิณ* หนึ่งพระรากขวัญ เบื้องขวาสำคัญ อยู่ชั้นพรหมมินทร์มวลพรหมโสฬส ประณตนิจสิน บูชาเป็นอาจินต์ พร้อมด้วยกายใจ* สองพระรากขวัญ เบื้องซ้ายสำคัญ นั้นอยู่เมืองไทยพระมหากัสสปะ พร้อมพระเถระ ห้าร้อยพระองค์อัญเชิญเหาะมา ตามพุทธประสงค์ นำมอบแด่องค์อชุตราชราชาทรงฉลองสมโภช บรรจุด้วยโกศทองคำบูชา สร้างเจดีย์ถวาย พระบรมศาดา เรียกขานกันต่อมาว่า พระธาตุดอยตุง* สามพระอุณหิส สถิตร่วมใน เจดีย์อุไร เมืองโยนกบุรีทรงพุทธทำนาย ถิ่นไทยแดนนี้ รุ่งเรืองเจริญดี มีความสมบูรณ์สืบทอดศาสนา ขององค์พระศาสดา ครบห้าพันปี* สี่พระเขี้ยวแก้ว ขวาบนพราวแพรว โอภาสรัศมีอยู่ดาวดึงส์สวรรค์ มหันตเจดีย์ พระจุฬามณี ทวยเทพบูชา* ห้าพระเขี้ยวแก้ว ขวาล่างพราวเพรว โอภาสไพศาลสถิตย์เกาะแก้ว ลังกาโอฬาร เป็นที่สักการของประชากร* หกพระเขี้ยวแก้ว ซ้ายบนพราวเพรว เพริดพริ้งบวรสถิตย์คันธาระ วลัยนคร ชุมชนนิกร นอบน้อมบูชา* เจ็ดพระเขี้ยวแก้ว ซ้ายล่างพราวเพรว รัศมีโอฬารสถิตพิภพ เมืองนาคบาดาล ทุกเวลากาล นาคน้อมบูชา* พระธาตุสรรเพชร เจ็ดองค์พิเศษ นิเทศพรรณาทรงคุณสูงสุด มนุษย์เทวดา พากันบูชา เคารพนิรันดร์* ด้วยเดชบูชา พระธาตุพระสัมมา สัมพุทธภควันต์ขอให้สิ้นทุกข์ เป็นสุขนิรันดร์ สู่แดนพระนิพพาน ในชาตินี้ เทอญ.* อหังวันทามิ ธาตุโย อหังวันทามิ สัพพะโส นิพพานะปัจจโย โหตุ *

หลวงปู่สุภา กันตสีโล พบพระอรหันต์ที่ถ้ำจุงจิง


คืนหนึ่ง ขณะที่ท่านจำวัดอยู่ที่ที่ท่านได้ทำการก่อสร้างสะพาน ท่านก็ได้เกิดนิมิตประหลาด ท่านนิมิตไปว่า มีชีปะขาว หน้าตามีบุญ มีแสงสว่างออกจากตัว คล้ายมีแสงไฟกระจายอยู่ด้านหลัง ชีปะขาวมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าท่าน แล้วกล่าวกับท่านว่า“เมื่อสะพานเสร็จแล้ว ท่านพึงจะละทิ้งเอาไว้ระยะหนึ่งก่อน ออกธุดงค์ไปยังโคราชก่อน แล้วตัดทางออกไปอุบลราชธานี อย่าพึงรีบร้อนและลังเล เมื่อพักผ่อนอิริยาบถพอสมควรแล้ว ท่านก็ข้ามไปฝั่งลาวเลย....”เส้นทางที่ชีปะขาวบอก คือข้ามจากอุบลราชธานีทางช่องเม็ก สู่แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว เดินตามเส้นทางป่าที่เชื่อมจำปาศักดิ์กับเมืองปากเซ ด้วยเป็นเส้นทางที่วิเวกและสามารถหลีกพ้นการรบกวนของผู้คนที่อาจจะทำให้หลวงปู่ต้องพักช่วยชาวบ้านเป็นระยะ ๆ หมดโอกาสจะไปยังสถานที่ที่ต้องการจะไปได้ หลวงปู่สุภาเดินทางพร้อมเครื่องบริขารธุดงค์ ตรงไปยังปากเซ สอบถามเส้นทางไปยังเมืองเซโปน ซึ่งได้ใช้เส้นทางป่าเหมือนที่มาจากนครจำปาศักดิ์ ผจญความยากลำบากและเภทภัยต่าง ๆ ตลอดเส้นทางเพราะตอนนั้น ป่าแถบนั้นชุกชุมไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บและภูตผีปีศาจ จากเซโปน สอบถามเส้นทางไปยังเมืองวัง เส้นทางช่วงนี้วิบากยิ่ง แต่หลวงปู่สุภาก็ไม่ย่อท้อ เพราะมีชีปะขาวมานิมิตของเหตุอยู่เสมอตลอดทางชีปะขาวมาปรากฏในนิมิตอยู่เสมอว่า ถ้ำจุงจิง คือสถานที่ที่ท่านจะต้องเดินทางไปให้ถึง ไปให้ตลอด ที่นั่นคือจุดหมายปลายทาง หลวงปู่สุภาจึงมีพลังใจและรุดหน้าเดินทางไปยังเมืองวัง และเดินทางต่อไปยังเมืองอ่างคำ อันป่าแถบนั้นยากที่จะมีผู้ใดบุกเข้าไปได้ ชาวบ้านบอกชัดเจนว่า พระธุดงค์หลายต่อหลายรูป ถามหาทางแล้วไม่เคยกลับออกมาอีกเลย และหลายคนห้ามหลวงปู่สุภาด้วยคำชาวบ้านง่าย ๆ ว่า“อย่าเอาร่างกายไปเป็นเหยื่อสัตว์ร้ายและไข้ป่า ตลอดจนภูตผีปีศาจเลย แม้พรานที่ว่าแก่วิชา ก็ยังต้องตามไปเอาศพกลับมาเผาเพื่อส่งวิญญาณ เมื่อไปพบสภาพศพดูทุเรศเป็นที่สุด”จากเมืองวังไปยังเมืองอ่างคำ หลวงปู่สุภาต้องผจญกับอาถรรพ์ต่าง ๆ นานาประการ หากแต่ได้วิชาที่เล่าเรียนมาแต่ต้น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และธุดงควัตรอันบริสุทธิ์ของท่าน แก้ไขสถานการณ์จนรอดออกมาจากป่า บรรลุถึงเมืองอัตปือแสนปาง ที่นั่นหลวงปู่สุภามิอาจหาเส้นทางที่เข้าไปยังจุดที่จะถึงถ้ำจุงจิงได้ ที่สุดชีปะขาวต้องมานิมิตบอกท่านว่า มีคนพวกเดียวเท่านั้นที่จะพาหลวงปู่สุภาไปได้คือ “พวกข่า” พวก “ข่า” เป็นพวกพรานป่าที่ชำนาญไพร และชำนาญด้านเส้นทางที่จะไปยังถ้ำจุงจิง หลวงปู่สุภาเดินทางมาจนถึงบ้านหนองไก่โห่ อันเป็นชุมชนของชาวข่าที่น้อยคนนักจะมาถึงได้ พวกข่าพบหลวงปู่สุภาแล้วรู้สึกแปลกใจ ถามว่ารอดชีวิตจากป่าดงดิบ ดงดิบดำได้อย่างไร หลวงปู่สุภาจึงบอกวัตถุประสงค์ที่จะไปถ้ำจุงจิงแก่ชาวข่า เมื่อได้ยินดังนั้น ชาวข่าก็บอกกับท่านว่า“ถ้ำแห่งนั้นเป็นถ้ำอาถรรพ์ ไม่มีใครอยู่ได้ แม้แต่เฉียดเข้าไป ก็ถูกอาถรรพ์เล่นงานเอาจนตาย หรือเฉียดตาย แต่หากว่าท่านจะไป ก็จะนำทางให้ จะนำทางเพียงขึ้นไปที่ปากถ้ำเท่านั้น หลัวจากนั้น ให้หลวงปู่ให้ค่าจ้างเขาด้วยหน่อทองคำ”หลวงปู่สุภาจึงบอกกับพวกข่า “เราเป็นพระธุดงค์ ไม่มีทองคำหรือหน่อไม้ทองแต่ประการใดที่จะให้เป็นค่าแรง บอกทางด้วยปากเปล่าก็ได้ จะเดินไปเอง”พวกข่าจึงบอกกับหลวงปู่สุภาว่า“สะพานที่ทอดข้ามจากหนองไก่โห่ ไปยังเส้นทางเขาจุงจิง มีต้นไม้สีทองอุไรขึ้นอยู่มากมาย หากมีวิชาอาคมเด็ดยอดให้ขาดลงมา ทันทีที่ขาดใส่มือ ก็จะกลายสภาพเป็นหน่อทองคำทันที ขอหน่อนั้นให้พวกกระผม จะได้รอจนท่านกลับมา”หลวงปู่สุภาจึงรับปาก เขาจุงจิงนั้นเป็นเขตแดนติดต่อกันระหว่าพระราชอาณาจักรลาวกับดินแดนของเวียดนาม หลวงปู่สุภาจึงข้ามสะพานไปอีกฟากหนึ่งจึงพบต้นไม้ที่ชาวข่าบอกให้ฟัง ความจริงนั้นหลวงปู่สุภาเล่าว่า“ไม่ใช่ต้นไม้ต้นไร่อะไรหรอก เป็นหน่องอกจากดิน สูงคืบหนึ่งบ้าง หนึ่งศอกบ้าง สองศอกบ้าง มีสีเหลืองเหมือนทอง เวลาต้องแสงแดดก็จะเปล่งประกายงดงามจับตายิ่งนัก พวกข่าต้องการมากทีเดียว”เมื่อเดินผ่านเข้าไป ท่านได้ระลึกอยู่ ๒ อย่าง คือ-ประการแรก ได้รับปากกับชาวข่าไว้แล้วเรื่องให้หน่อไม้ทองเป็นรางวัล-ประการที่สอง การจะหักหน่อทองคำเป็นอาบัติ ธุดงควัตรจะขาด และจะเกิดอันตราย จะต้องรักษาสองอย่างนี้ไว้ในเวลาเดียวกันหลวงปู่เล่าว่า“เพ่งมองดูด้วยจิตอันเป็นอุเบกขา ไม่มีความโลภอยากได้ เมื่อจิตเป็นเอกคตาแล้ว จึงนึกอธิษฐานจิตอย่างแน่วแน่ว่า ขอเทพยดาอารักษ์ที่รักษาสถานที่นี้อยู่ ด้วยอาตมาเดินทางมาด้วยนิมิตจิต ต้องการเพียงเล่าเรียนศึกษาแสวงหาทางนิพพาน แต่ได้รับปากชาวบ้านว่าจะให้หน่อไม้ทอง หากมิมีของให้พวกเขา ธุดงควัตรของอาตมาก็จะบกพร่องและเกิดอันตราย ขอเทพยดาได้เมตตาให้หน่อทองแก่อาตมาด้วยเถิด”ทันใดนั้นก็มีเสียงซู่ซ่า ต้นไม้ทองคำก็สั่นไหวไปมา และหลายต้นโน้มยอดเข้ามาทางที่ท่านเดินไปและหักกระเด็นออกมาเรี่ยรายอยู่กับพื้นเป็นจำนวนมาก โดยที่ท่านไม่ต้องออกแรงเด็ดหรือทำการอย่างใดให้ต้องอาบัติ และเมื่อยอดตกหักถึงพื้น ก็กลายเป็นหน่อทองคำจริง ๆ เหมือนที่พวกข่าเล่าให้ฟัง เมื่อเห็นว่าได้หน่อทองคำพอสมควรแล้ว หลวงปู่สุภาจึงบอกกับชาวข่าว่า บัดนี้เราได้หน่อทองแล้ว ขอให้พากันไปเก็บ แต่ต้องนำท่านไปส่งที่ถ้ำจุงจิงก่อน หาไม่แล้ว อาจไม่ได้ทอง เพราะเป็นจิตอธิษฐานของท่านเอง พวกข่าจึงตามท่านไปเก็บหน่อทอง และจึงช่วยกันนำหลวงปู่สุภาไปส่งยังถ้ำจุงจิง และลากลับไปหมู่บ้านของเขา หลวงปู่สุภาปักกลดอยู่ทางขึ้นถ้ำ ชีปะขาวก็มานิมิตอีก คราวนี้มาบอกชัดเจนเลยว่า“บนถ้ำจุงจิง มีพระอรหันต์หลายรูป แต่ละรูปเจริญอิทธิบาท ๔ ประการ ดำรงสังขารมานับเป็นพันปี และจะดำรงต่อไปจนกว่าจะพบพระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสรู้ และเมื่อได้รับฟังพระธรรมจากท่านพระศรีอาริยเมตตรัยแล้วจึงจะละสังขารไป ท่านจะได้พบด้วยตัวของท่านเองนั่นแหละ”หลวงปู่สุภาได้ขึ้นไปจำวัดอยู่บนถ้ำจุงจิงเป็นคืนแรก การขึ้นสู่ถ้ำจุงจิงนั้นยากลำบาก ต้องป่ายปีนไปตามซอกหิน จนได้ขึ้นไปสู่ปากถ้ำ ซึ่งมีแต่หมอกควันปกคลุมอยู่ แสงสว่างจากภายในไม่มี จากภายนอกก็เข้าไปไม่ได้ ต้องอาศัยเทียนนำทาง เมื่อเข้าไปแล้ว เหมือนตนเองอยู่ในเมืองลับแล คือไม่รู้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน เข้าวันใหม่ หลวงปู่สุภาจึงออกมานอกถ้ำ ที่หน้าถ้ำ หมอกได้สลายไปหมดแล้ว เห็นภูมิทัศน์ได้ถนัดตา มองขึ้นไปด้านบน จะเห็นมียอดเขาและถ้ำอีกมากมาย แต่ไร้เส้นทางขึ้น เป็นหน้าผาล้วน ๆ ไม่มีก้อนหินและทางขึ้นไปได้ จึงได้แต่คิดว่า เราจะได้พบพระอาจารย์หรือพระอรหันต์ได้อย่างไร พอคิดแวบขึ้นมา มองขึ้นไปข้างบนก็เห็นสีเหลืองคล้ายจีวร เลื่อนลงมาจากปากถ้ำด้านบน รวดเร็วมากจนมองแทบไม่ทัน มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อสีเหลือง ๆ นั้น มายืนอยู่ตรงหน้า เป็นพระภิกษุที่มีผิดพรรณวรรณะผิดกับคนธรรมดาทั่วไป ครองผ้าแปลกไปกว่าที่หลวงปู่สุภาครองอยู่ แต่มีลักษณะคล้ายพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ให้สังเกตได้หลายประการ แล้วพระสงฆ์รูปนั้นก็กล่าวขึ้นว่า“ไม่ต้องแปลกใจหรอก การลงมาเมื่อกี้นี้เป็นเพียงการอธิษฐานจิตเท่านั้นแหละ เอาเป็นว่า มาได้อย่างไร และทำไมจึงต้องมาที่นี่ บอกมาให้ละเอียด”หลวงปู่สุภาเล่าให้ศิษย์ฟังว่า พระอรหันต์จริง ๆ จะไม่กล่าวพาดพิงถึงการสำแดงปาฏิหาริย์หรือปรากฏการณ์มหัศจรรย์ แต่จะพูดเลี่ยงไปมา ด้วยพระอรหันต์นั้น หากแม้แสดงตัวหรืออะไรก็ตามที่ให้บุคคลที่สองรู้ว่าตนเป็นอรหันต์ ต้องปาราชิก ฐานอวดอุตริมนุสธรรม แม้จะมีภูมิธรรมก็ตามที หลวงปู่สุภาจึงได้ตอบไปว่า“กระผมมาตามนิมิตที่ได้จากชีปะขาว จึงเดินทางมาจนถึงที่นี่ด้วยต้องการจะเล่าเรียนทางด้านวิปัสสนากรรมฐานที่สูงขึ้นกว่าที่ได้เรียนมา หากท่านมีเมตตาแล้ว ก็ช่วยสอนให้กับกระผมด้วยเถิด”พระรูปนั้นจึงกล่าวว่า ไม่ยากหรอก แต่ต้องเริ่มกันที่ การกำจัดสิ่งปฏิกูลออกจากตัวท่านก่อน อย่าลืมว่าท่านฉันภัตตาหารที่มีเนื้อสัตว์ปะปนอยู่ สิ่งเหล่านั้นปะปนอยู่ในตัวท่านมากมาย ต้องนอนลงบนใบตอง ทำจิตให้มั่นคง และต่อไปเราจะสวดเพื่อขัยไล่สิ่งที่เป็นคาวออกจากตัวท่านให้หมด เมื่อน้ำคาวออกหมดแล้วจึงจะสวมจีวรได้อีกครั้ง ระหว่างที่สวด จะต้องสวมแต่สบงเท่านั้น จีวรและอังสะต้องแยกออกไป ชำระล้างตัวแล้วจึงไปเรียนชีปะขาวหรือฤๅษีที่ไปนิมิตบอกท่านนั่นแหละ เรียนกับเขาด้านสมถะและด้านญาณโลกียะ ซึ่งสามารถแสดงฤทธิ์อภิญญา แต่นั่นไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่จะสามารถแสดงฤทธิ์ขึ้นไปข้างบนที่เห็นอยู่ได้ เพื่อพบพวกเรา พวกเราอยู่กันบนนั้น มีอายุวัฒนะด้วยอิทธิบาท ๔ ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทางสำแดงว่า จะสามารถดำรงขันธ์อยู่ได้นานตามที่ต้องการ เราจะอยู่จนพระศรีอาริยเมตตรัยลงมาตรัสรู้ และได้ฟังธรรมะจากท่านแล้วจึงจะละสังขารไปสู่นิพพานอันเป็นบรมสุข แต่ เอ๊ะ...“คุณยังมีภาระอยู่นี่ ยังทำอะไรไม่ได้หรอก ต้องกลับไปทำให้สำเร็จก่อนจะมาศึกษาเล่าเรียนได้ มันเป็นห่วงที่คอยขัดขวางการเล่าเรียนของคุณ กลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน”หลวงปู่สุภาจึงบอกกับพระภิกษุรูปนั้นว่า สะพานผมสร้างสำเร็จแล้ว ศาลาการเปรียญก็สำเร็จแล้ว ผมยังมีอะไรเป็นห่วงอีก พระภิกษุรูปนั้นจึงบอกว่า“สำเร็จแล้ว แต่คุณยังค้างชาวบ้านเขา ก็คุณบอกว่า จะทำการฉลองไง แล้วคุณไม่กลับไปฉลอง ก็เท่ากับคุณไม่ทำตามปากพูด เป็นมุสาวาท คุณกลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ก็แล้วกัน”พอสิ้นคำพูดนั้น ร่างของภิกษุรูปนั้นก็เลื่อนขึ้นสู่เบื้องบนเหมือนตอนที่ลงมาไม่มีผิด ท่านจึงต้องเดินทางย้อนกลับมาทางเดิม มาทำพิธีฉลองสะพานและสิ่งก่อสร้างในวัดเกาะสีคิ้ว ครั้นเตรียมตัวกลับไปใหม่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะมีพระมหาสมาน อยู่คณะ ๕ วัดหงส์รัตนาราม นิมนต์ให้ไปช่วยเป็นประธานปฏิสังขรณ์หมู่กุฏิและเสนาสนะในคณะ ๕ กว่าจะเสร็จกินเวลานาน และชีปะขาวก็มิได้มานิมิตอีกเลย เป็นอันว่าท่านไม่ได้กลับไปถ้ำจุงจิงอีกเลย ท่านเล่ามาถึงตอนนี้ก็บอกกับศิษย์ว่าจำไว้เลยว่า ทุกอย่างจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จอยู่ที่วาสนาบารมีแต่ละคน สำหรับท่าน ไม่มีวาสนาบารมีจะได้เล่าเรียนกับพระอาจารย์ที่ถ้ำจุงจิงเป็นแน่ จึงได้กลับไป”

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

“ในหลวง” ตรัสให้ผู้พิพากษาศาล ยธ.เข้มแข็ง ทำหน้าที่สมเป็นผู้รักษากฎบ้านเมือง




“ในหลวง” พระราชทานวโรกาสให้ประธานศาลฎีกา นำผู้พิพากษาประจำศาลยุติธรรม ถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ก่อนรับหน้าที่ พร้อมพระราชทานพระบรมราโชวาทให้ยึดมั่นคำสัตย์ฯ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง เสมือนเป็นตุลาการของประเทศ ขอให้ทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายของความดี เป็นหลักประกันความสุขสงบในประเทศ หากทำดี ชาติก็จะไปรอดปลอดภัย ขอให้รักษาคำปฏิญาณดั่งที่เปล่งวาจา เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรม วันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2553) เวลา 17.53 นาที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออก ณ ห้องประชุมชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา นำผู้พิพากษาประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรม เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ในโอกาสนี้ นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม นายไพโรจน์ นวานุช ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ประจำสำนักงานประธานศาลฎีกา นายวรวุฒิ ทวาทศิน เลขาธิการประธานศาลฎีกา และนายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ ความว่า “ศาลฎีกามีความสำคัญมาก เพราะว่า ถ้าปฏิบัติก็เท่ากับเป็นตัวอย่างในการตุลาการของประเทศ สำหรับศาลทุกขั้น ตั้งแต่ศาลท้องที่ จนกระทั่งศาลสูงสุด คือ ศาลฎีกา ฉะนั้น การที่ท่านต้องปฏิญาณตนว่า จะปฏิบัติหน้าที่ในทางที่ดีที่สุด ก็หมายความให้ปฏิบัติอย่างถูกต้อง กล่าวคือ การปฏิบัติถูกต้องตามหน้าที่ของท่านในการฐานะผู้พิพากษา ก็ต้องมีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อย่างเข้มแข็งและอันนี้มิใช่เฉพาะในโรงศาล แต่ในทางทั่วไป หมายความว่าทุกเมื่อ เมื่อคนเขาเห็นว่านี่เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา ก็จะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด สำหรับความยุติธรรม ความเป็นบุคคลของประเทศ ที่ถือว่าเป็นผู้รักษาความเรียบร้อยของประเทศ ฉะนั้น ท่านก็ต้องรักษาความเคร่งครัดของมานะนี้ต่อไป ไม่ใช่เฉพาะในเรื่องของศาล แต่ทุกเมื่อ เมื่อคนเขาเห็นว่านี่คือผู้พิพากษาศาลฎีกาของประเทศ แม้จะไม่ได้แต่งเครื่องแบบของศาล คนจะจำได้ว่านี่คือผู้พิพากษาที่ประศาสน์ความยุติธรรมแก่ประชาชนทุกเหล่า ทุกเมื่อ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะว่าถ้าเขาจำได้ว่านี่คือผู้พิพากษาที่ต้องรักษาความยุติธรรมของประเทศ เขาก็ พวกที่หวังพึ่งความยุติธรรมของท่านก็จะต้องเห็นความยุติธรรม ความศักดิ์สิทธิ์ของศาล หมายความว่า มีความหวังว่าในประเทศมีความยุติธรรม ในประเทศมีผู้ที่รักษาความยุติธรรม ฉะนั้นท่านจะต้องรักษาความยุติธรรมนี้ทุกเมื่อ ในหน้าที่และนอกหน้าที่ จนกระทั่งชีวิตจะหาไม่ เพราะว่าคนเขานับถือศาลซึ่งเป็นของที่ดีของประเทศที่เมืองไทยมีศาล แล้วคนหวังในความยุติธรรม ถ้าเขารู้ว่ามีความยุติธรรมในประเทศ จะเป็นคนดีหรือคนไม่ดี แต่เขาก็จะต้องรู้ว่ามีความหวังกัน หวังประเทศว่ามีความยุติธรรม ฉะนั้น ท่านต้องเป็นผู้รักษาความยุติธรรม ธรรมะที่เป็นของดีทุกเมื่อ ประเทศชาติก็จะมีความหวังที่จะมีความเรียบร้อย แม้แต่โจรผู้ร้ายก็หวังความยุติธรรม ผู้ที่มีจิตใจที่ไม่ทำอะไรที่เรียบร้อย ที่ดี เขาจะทำดีขึ้น ดีกว่าที่จะไม่มีเครื่องหมายของความยุติธรรม ท่านทั้งหลายมีความสำคัญมาก เพราะว่าแต่ละคนเป็นเครื่องหมายของความยุติธรรม เป็นเครื่องหมายของความดี เป็นความหมายของความเรียบร้อยของประเทศชาติ ไม่น่าจะเชื่อได้ว่าแต่ละคนมีความสำคัญ แต่ละคนที่เป็นผู้พิพากษามีความสำคัญมากสำหรับความเรียบร้อย ความหวังของประเทศ ความหวังของคนทั่วประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นคนดีบ้างคนไม่ดีบ้าง คือคนไม่ดีก็มี แต่ยังไงเขาก็เวลาเห็นผู้พิพากษาปฏิบัติหน้าที่ แม้จะไม่ใช่กำลังปฏิบัติหน้าที่ เขามีความหวังทำให้คนเป็นคนดีมากขึ้น ถ้าประเทศชาติมีคนดี ประเทศก็หวังได้ว่ามีความสงบ มีความสุขในประเทศได้ ฉะนั้นท่านเป็นประกันของความสงบ ความสุข ความเรียบร้อยของประเทศ เท่ากับเป็นผู้ที่รักษาความยุติธรรม และเมื่อรักษาความยุติธรรมไว้ก็เป็นคนที่รักษาความสงบสุขของประเทศ ฉะนั้นต้องขอให้สำนึกว่าแต่ละคนมีความสำคัญมากต่อประเทศชาติ ต่อส่วนรวม เพราะว่าเป็นเครื่องหมายของความยุติธรรม ท่านก็ทบทวนแล้ว ท่านก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย และปฏิบัติกฎหมายสูงสุด ทุกคนมีความหวังในผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติความยุติธรรม เมื่อท่านนั่งบัลลังก์ของศาลฎีกาหรือมีชื่อในสารระบบว่าท่านเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา ตราบใดที่ท่านเป็นเครื่องหมายของความยุติธรรม ก็เชื่อว่าช่วยให้ประเทศชาติมีความเรียบร้อย มีความสงบสุขได้ ก็หมายความว่าคนก็จะอยู่มีความสงบ มีความยุติธรรมอยู่ในตัวไม่ใช่ว่าท่านเป็นคนคนหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านเป็นเครื่องหมายของความยุติธรรมในประเทศทำให้ประเทศชาติไปรอดได้ดี ก็หมายความว่าท่านเป็นเครื่องหมาย ด้วยการปฏิบัติของท่าน ถ้าท่านทำดีเราเชื่อว่าท่านต้องรู้ว่าต้องทำดี ถ้าท่านทำดีแล้ว เป็นคนคนหนึ่งที่ช่วยให้ประเทศไปรอด ทุกคนก็อยากให้ประเทศชาติไปรอด ก็อย่างที่ว่า แม้โจรผู้ร้ายเขาก็รู้สึกว่า แต่ละคนอาจจะไม่รู้จะทำยังไง แต่เขาก็ต้องการความสงบสุข ถ้าท่านทำให้คนทั่วประเทศมีความหวังในความสงบ ความสุข ความยุติธรรม ประเทศชาติก็ไปได้ดี แต่ละท่านก็มีความหวัง ความแน่นอนว่ามีความพอใจที่ได้ปฏิบัติเพื่อช่วยส่วนรวม ก็ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติความดีของผู้พิพากษาศาลฎีกา อันมีเกียรติอย่างยิ่งสำหรับประเทศ ก็ขอให้ท่านมีกำลังใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาศาลฎีกา ตลอดต่อไป ตลอดชีวิต แม้จะ เมื่อไหร่ที่ท่านจะหมดหน้าที่ ก็หมายความว่า ท่านอาจจะถึงเวลาท่านหมดหน้าที่ท่านก็ยังคงรักษาความดีนี้เอาไว้อย่างเหนียวแน่น ฉะนั้นถ้าท่านรักษาความดีของผู้พิพากษาศาลฎีกา ท่านมีเกียรติ ท่านทำหน้าที่อย่างเหนียวแน่นจริงๆ ก็ขอให้ท่านมีกำลังใจ กำลังกายตลอด เพื่อที่สามารถปฏิบัติงานผู้พิพากษาศาลฎีกาด้วยความเข้มแข็ง ด้วยความเหนียวแน่นที่สุด ไม่มีท้อใจ เหนียวแน่นจริงๆ จนกระทั่งหมดแรง ถ้าท่านทำได้ดีอย่างนี้ท่านก็มีเกียรติมาก ท่านก็จะเป็นผู้ที่ช่วยประเทศให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ที่จะมีได้ แล้วท่านเองจะได้รับผลประโยชน์ของความตัดสินใจเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาของประเทศ ใช้วิชาเต็มที่เพื่อความเรียบร้อยของประเทศชาติในทุกทาง ก็ขอให้ท่านสามารถที่จะรักษาความดีของผู้เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งกฎหมาย ทั้งความยุติธรรม ตลอดชีวิต รักษาความดีของผู้พิพากษาอย่างเหนียวแน่น ท่านก็จะได้ทำตามที่ท่านปฏิญาณ ถ้าทำได้ท่านก็เป็นคนที่มีคุณภาพสมที่ได้ปฏิญาณตนว่าจะทำหน้าที่สำคัญนี้ให้ตลอดไป ก็ขอให้ท่านมีกำลังใจ กำลังกาย กำลังปัญญา อดทนเพื่อจะปฏิบัติงานของผู้พิพากษาศาลฎีกาตลอดชีวิต ท่านก็จะได้เป็นคนที่มีคุณภาพ ท่านจะเป็นคนที่ได้ทำตามที่ได้ปฏิญาณตน ก็ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติตามคำปฏิญาณอย่างเหนียวแน่น เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ยึดประโยชน์ต่อส่วนรวมนี้ ให้ทำทุกอย่างที่มีอยู่ในใจ เมื่อเปร่งคำปฏิญาณ ไม่ทราบว่าในใจของท่าน มีอะไรอยู่ในใจเมื่อเปร่ง แต่ว่า ก็หวังว่า เป็นความดี ความ... เรียกว่า ความตั้งใจที่จะให้ส่วนรวม อันเรียกว่าประเทศชาติอยู่เย็นเป็นสุข มีความเหนียวแน่น มีความเข้มแข็งเต็มที่ ถ้าทำได้แล้ว ท่านได้ช่วยคนจำนวนมาก ให้มีความหวังในชีวิต และถ้าทำได้ ท่านมีบุญที่ได้มีโอกาสได้ช่วยคนจำนวนมากให้อยู่เย็นเป็นสุขได้ ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติหน้าที่โดยครบถ้วน ชั่วกาลนาน จนกระทั่งชีวิตจะหาไม่ เพราะฉะนั้น ที่ท่านมาปฏิญาณตนไม่ใช่สิ่งที่กลวงๆ เป็นสิ่งที่สำคัญของประเทศชาติ แต่ละคนคือหน่วยของประเทศ แต่นั่นได้ช่วยคนเป็นจำนวนหลายสิบล้าน ฉะนั้นก็ขอให้ท่านรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของการปฏิญาณเป็นผู้พิพากษาของศาลฎีกา ขอให้ท่านได้มีความสำเร็จในงานการนี้ โดยเหนียวแน่นจนกระทั่งชีวิตจะหาไม่ ก็ขอให้ท่านมีความสำเร็จในงานการ ที่ได้ตั้งใจไว้ ที่จะทำดีกับส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งไม่มีโอกาสที่จะทำ ก็ขอให้ท่านสำเร็จตามที่ได้เปร่งวาจา ก็ขอให้มีความสำเร็จและมีความสุขในงานการ ให้มีความสุขที่จะช่วยคนส่วนมากอยู่เย็นเป็นสุขได้ ขอให้ท่านประสบความสำเร็จ”