วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

โบสถ์พราหมณ์ เทวสถานอันศักดิ์สิทธิ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์







วัตถุมงคลของโบสถ์พราหมณ์...เทวสถานแห่งนี้แม้จะมีประวัติการก่อสร้างและคงอยู่มายาวนานควบคู่กับพระนครหลวงของเรา ก็หาได้เคยสร้างเครื่องมงคลอันใดให้เป็นที่แพร่หลายไม่ เหตุเพราะไม่มีความจำเป็นอะไรประการหนึ่ง และเพราะขึ้นตรงต่อสำนักพระราชวังในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประการหนึ่ง ดังนั้น การทำสิ่งใดจึงต้องรอบคอบและถูกถ้วนเสมอ เพื่อมิให้กระทบกระเทือนถึงเบื้องพระยุคลบาทได้ฉะนั้น แต่ไหนแต่ไรตลอด 220 ปีมานี้ ทุกพิธีกรรม ทุกวัตถุมงคลที่สร้างล้วนเป็นไปเพื่อทูลเกล้า ฯ ถวายแด่องค์พระประมุขและพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้น ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะถึงแก่ประชาชนได้
นอกจากการเปิดเทวสถานให้เข้าไปสักการะองค์เทพเฉพาะในวันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น เพียงสองวันเท่านั้นข่าวที่ผมรับทราบจากโทรทัศน์เคยมีว่าคณะพราหมณ์ได้สร้างเทวรูปพระพรหมทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สร้างเทวรูปพระตรีมูรติทองคำทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเทวรูปพระนารายณ์ทองคำทูลเกล้า ฯ ถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เป็นต้นผมอนุโมทนาอยู่เงียบ ๆ คนเดียวจวบจนปีหนึ่งรู้สึกจะเป็น พ.ศ. 2539 คณะพราหมณ์นำโดยพระราชครูวามเทพมุนี (ชวิน รังสิพราหมณกุล) ได้ทำการสร้างเทวรูปพระพิฆเนศวรเนื้อนวโลหะหน้าตัก 9 นิ้วขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตอนนี้เองที่สายฝนแห่งบุญกุศลได้โปรยปรายตกต้องถึงประชาชนชาวสยามด้วยคณะพราหมณ์มีมติให้สร้างเทวรูปพระคเณศขนาดหน้าตัก 3 นิ้ว 5 นิ้ว และ 9 นิ้วให้ประชาชนบูชาด้วย จำได้เลา ๆ ว่าหน้าตัก 9 นิ้วองค์ละหนึ่งหมื่นสองพันบาทหรือยังไงนี่แหละราคาค่อนข้างสูงเพราะศิลปะที่งดงามจำลองจากองค์จริงในเทวสถานได้เหมือนสุด ๆ อีกทั้งเนื้อหาชนวนมวลสารยังเป็น นวโลหะ ทุกองค์พูดถึงการปรุงเนื้อพระกระแสต่าง ๆ แล้วย่อมหมดสงสัยได้แม้เป็นคณะพราหมณ์ เพราะในสมัยแห่งการเทพระกริ่งยังเฟื่องฟูอยู่ในยุคแห่งองค์สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทโว) วัดสุทัศน์เทพวรารามนั้น ก็ได้พราหมณ์แห่งเทวสถานนี้แลเป็นผู้คำนวณฤกษ์ บวงสรวงเทวดาฟ้าดิน บูชาพระเกตุ บูชาฤกษ์ ประกาศสังเวยเทวดา และร่วมอยู่ในพิธีเททองจนเสร็จสิ้น จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการประกอบพิธีพุทธาภิเษก ซึ่งก็พราหมณ์ที่นี่อีกจัดตั้งราชวัติฉัตรธงโยงสายสิญจน์ร่วมกันในพิธี ตลอดจนทำน้ำเทพมนต์โดยพราหมณ์ควบคู่กับการทำน้ำพระพุทธมนต์โดยสงฆ์ไม่รู้กี่ครั้งกี่วาระจนตกทอดเรื่อยมาถึงสมัยแห่ง พระมงคลราชมุนี (สนธิ์ ยติธโร) พระศรีสัจจญาณเถร (ประหยัด ปัญญาธโร) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม จันทสิริ) เป็นอาทิแล้วอย่างนี้จะไม่ให้พราหมณ์ที่นี่เก่งกล้าสามารถอย่างไรได้ มีหลักฐานปรากฏชัดว่าคณะพราหมณ์แห่งเทวสถานได้ศึกษาหาความรู้แลกเปลี่ยนวิชากันในสายวัดสุทัศน์ ฯ ยุคต้น นับแต่สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวัฒโน) พระอุปัชฌาย์ในสมเด็จพระสังฆราชแพ เรื่อยมาจนถึงท่านเจ้าคุณประหยัดอันเป็นศิษย์ในสมเด็จพระสังฆราชแพรุ่นเล็กนวโลหะน่ะหรือ ?ที่นี่ก็ทำเป็น ไปชมได้เลยกับโลหะธาตุ 9 ชนิดที่ตั้งแสดงไว้ในโบสถ์พระศิวะครั้นออกพระคเณศนวโลหะให้บูชาเป็นสมบัติทั่วกัน โดยไม่ต้องประกาศใด ๆ ไม่กี่เพลาก็หมดไปจากเทวสถานอย่างรวดเร็ว แม้เจ้าหน้าที่หรือพราหมณ์ในเทวสถานเองก็ยังไม่ทันได้บูชาเก็บไว้เป็นสมบัติตน เห็นชัดถึงความเชื่อถือในเครดิตของคณะพราหมณ์ที่นี่และเลื่อมใสในมหิทธิฤทธิ์ของเทพเจ้าที่ประทับในโบสถ์พราหมณ์ก็ที่นี่เป็นโบสถ์พราหมณ์อายุสองร้อยกว่าปีอบอวลด้วยพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้กี่ร้อยพันหมื่นพิธี ผู้ประกอบพิธีเป็นพราหมณ์ที่สืบเชื้อสายและรับวิชามาอย่างถูกต้องตามโบราณาจารย์วางแบบไว้ เป็นผู้ชำนาญในฤกษ์และวันอันมงคล ชาญในพระเวทที่อาจเข้าเฝ้าเหล่าเทพเจ้าเบื้องบนได้โดยผ่านทางพิธีกรรมเช่นนี้แล้วก็ไม่มีอะไรให้สงสัยแว่วมาว่าโบสถ์พราหมณ์อาจจัดสร้างพระคเณศเป็นรุ่นที่สองด้วยทนเสียงเรียกร้องไม่ไหว อีกทั้งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่มีในเทวสถานแห่งนี้ก็เป็นภาระอันใหญ่ที่ผู้ดูแลต้องขวนขวายหามารักษา ทั้งเรื่องของ น้ำประปา โทรศัพท์ ความชำรุดทรุดโทรมของสถานที่ซึ่งมีอายุถึง 220 ปีอันต้องคอยบูรณะกันอยู่เสมอ พิธีกรรมที่ต้องประกอบด้วย ผลไม้ ดอกไม้ ธูป เทียน สายสิญจน์ และอีกจิปาถะซึ่งคนเคยทำพิธีหรือเคยอยู่ในพิธีจะรู้ดีว่ามีค่าใช้จ่ายเพียงใดไม่ใช้เงินจะใช้อะไร...?เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ถ้าจะว่าไปก็คือหน่วยงานราชการเล็ก ๆ หน่วยหนึ่ง ผมไม่ทราบหรอกว่าเรื่องปัจจัยปรุงแต่งภายในของเขาจะเป็นอย่างไร ทราบเพียงว่า แต่ไหนแต่ไรคำว่าหน่วยงานราชการถ้าไม่สำคัญจริงแล้วงบประมาณเป็นอันว่าได้น้อยเหลือกำลังต่อจากนั้นแล้วจงขวนขวายช่วยตนเองเถิด
ในปี พ.ศ. 2545 นี้โบสถ์พราหมณ์ต้องขวนขวายช่วยเหลือตัวเองครั้งใหญ่ ด้วยปรากฏว่าโบสถ์ทั้งสามหลังมีความชำรุดทรุดโทรมเป็นอันมาก อีกทั้งเครื่องบนของตัวโบสถ์ก็ไม่แน่ว่าจะอยู่ในสภาพที่ดีพอหรือไม่ เพราะตลอดสองร้อยกว่าปีไม่เคยได้ปฏิสังขรณ์กันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวดังนั้น เทวสถานจึงทำเรื่องแจ้งไปยังสำนักพระราชวังถึงการนี้ ทางสำนักฯ ก็มอบปัจจัยมาจำนวนหนึ่งซึ่งแน่นอนว่าไม่พอกับการบูรณะ เทวสถานจึงต้องหาปัจจัยเพื่อการซ่อมแซมโดยวิถีอื่นอีกในที่สุดก็มีช่องทาง เมื่อทำการรื้อกระเบื้องมุงหลังคาโบสถ์ทั้งสามหลังลงมาแล้วพบว่ากระเบื้องหลายแผ่นแตกร้าวชำรุดเป็นอันมาก จำต้องล้างแล้วคัดแยกนำกระเบื้องที่ดีกลับไปใช้ใหม่ ส่วนที่แตกร้าวก็มีมติให้นำมาป่นเป็นผงละเอียดเพื่อสร้างเป็นพระพิมพ์ของมหาเทพทั้งสามองค์เพราะเหตุใด ?ก็กระเบื้องดังว่านั้นมีอายุถึงสองร้อยกว่าปี ทำมาแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ทีเดียว ซ้ำยังผ่านพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ มานับร้อยนับพันพิธี อบอวลด้วยพระเวทและมนตรานับไม่ถ้วนบทที่เหล่าพราหมณ์สาธยายเป็นเทวบูชา พร้อมทั้งพิธีเทวาภิเษกที่จัดอย่างมโหฬารไม่รู้อีกกี่พิธีอัญเชิญเทพพรหมทั่วท้องจักรวาลความศักดิ์สิทธิ์ย่อมซึมซับไปทั่วทุกแห่งหนในอาณาบริเวณที่กำหนดไว้ว่าเป็น เทวาลัย คือที่อาศัยแห่งเทพหรือเขตแห่งเทวดานั่นแล
ดูแต่กระเบื้องวัดไร่ขิงนั่นปะไร รื้อลงมากองทิ้งอยู่ข้างโรงลิเกอย่างไม่รู้จะกำจัดอย่างไรดี อยู่ ๆ มามีคนขี้เมาชักปืนออกยิงเล่นกลับกระสุนด้านเสียนี่ นึกว่าบังเอิญเลยหิ้วไปยิงต่อที่บ้านทำยังไงก็ยิงไม่ออก พอดังเข้าคนก็ลุยจนเละร้อนถึงทางวัดต้องเข้ามาคุมเห็นค่ากันล่ะทีนี้เอามาป่นทำพระเสียแหละดี ความที่มีกระเบื้องเยอะทุกวันนี้ก็ยังมีพระให้เช่ากันที่วัดไร่ขิง องค์ละยี่สิบบาทเอง ทำเป็นพระเครื่องแล้วยิ่งมีอานุภาพ มีประสบการณ์กันน่าดู ไปวัดไร่ขิงเมื่อไรฟังกันเพลินทีเดียว ถามชาวบ้านดูเถิดว่าคุณวิเศษในหลวงพ่อวัดไร่ขิงนั้นมีเท่าไร เล่าสามวันสามคืนก็ไม่หมดเห็นไหมล่ะ
อานุภาพกระเบื้อง รมมนต์ โบสถ์พราหมณ์เขาก็มีพิธีไม่ต่างกัน ดังนั้น เมื่อทำพระเครื่องเป็นครั้งแรกในชีวิตย่อมต้องพิเศษและยิ่งใหญ่ไม่ให้เสียชื่อคณะพราหมณ์ผู้ชาญพระเวทและเป็นเจ้าแห่งพิธีกรรมปฐมเหตุเริ่มที่เทวสถานทำการปฏิสังขรณ์โครงหลังคาโบสถ์ทั้งสามหลังและเปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคาอายุ 218 ปีในบางส่วน คือแยกคัดล้างเอาแผ่นที่ดีกลับขึ้นไปใช้งานต่อ ในแผ่นที่แตกร้าวชำรุดซึ่งมีจำนวนไม่น้อย ก็นำมาบดเป็นผงละเอียดปรุงร่วมกับมวลสารศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่ทางเทวสถานมีเพื่อการทำเป็นพระพิมพ์กำหนดว่าจักแกะพิมพ์ขึ้น 3 รูปแบบ ประกอบด้วยพิมพ์รูปเหมือนของ พระศิวะ พระนารยณ์ และ พระพิฆเนศวร โดยมอบให้ อาจารย์บุญส่ง นุชน้อมบุญ อาจารย์กรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบพระพิมพ์ และในวันขึ้นแบบแม่พิมพ์ตรงกับวันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2545 อันเป็นวันธงชัยตามหลักโหราศาสตร์
ได้อาราธนาพระอาจารย์สิงทน นราสโภ วัดพระพุทธชินราช พุทธชิโนฮิลล์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มานั่งปรกเป็นปฐมฤกษ์และขณะที่ขึ้นแบบนั้นพราหมณ์ก็ได้ทำพิธีบวงสรวงบูชาฤกษ์พร้อมกันเมื่อบล็อคและมวลสารครบถ้วนจึงได้ทำการประสมเนื้อกดพระทั้งสามพิมพ์ตามฤกษ์ยามที่กำหนด ระหว่างนั้นก็เตรียมการประกอบพิธีเทวาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่มโหฬารซึ่งหลายท่านอาจไม่ทราบ เพราะทางเทวสถานไม่ได้ประชาสัมพันธ์หนักหน่วงดังเช่นวัดวาต่าง ๆ อย่างที่เราพึงคุ้นหูนับว่าดีไปอย่าง ด้วยการประกอบพิธีที่เป็นไปอย่างเงียบเชียบไม่อึกทึกวุ่นวายย่อมทำสมาธิให้เกิดกับผู้ประกอบพิธีทุกท่าน แม้ผู้อยู่ร่วมพิธีก็ยังสัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งครอบคลุมในทุกอณูของบรรยากาศกำหนดการมหาเทวาภิเษกได้จัดขึ้นตั้งแต่วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 ถึง วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 รวม 4 วัน 4 คืน โดยก่อนประกอบพิธีเทวาภิเษกนั้น ท่านพระราชครูวามเทพมุนีหัวหน้าคณะพราหมณ์ได้นำพระพิมพ์ทั้งสามแบบ แบ่งแยกกันลงบรรจุเป็นลำดับชั้นในตู้แก้วใบมโหฬารนับได้สามตู้ทำไมต้องแยก...?เพราะเทพเจ้าทั้งสามองค์ย่อมต้องได้รับการปลุกเสกและประกอบพิธีกรรมโดยวิธีการแลพระเวทอันพึงสวดซึ่งต่างกัน ต่างแม้กระทั่งน้ำที่จะสรง ดอกไม้ที่จะโปรย ใบไม้ที่จะบูชา...ละเอียดประณีตดีไหม !!เรื่องสุกเอาเผากินหรือทำอย่างลวก ๆ ลน ๆ ไม่สามารถมีได้ในกลุ่มพราหมณ์ที่ทรงภูมิรู้แท้จริง ที่สำคัญเป็นผู้สนองงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสียด้วยต้องรู้ให้จริง...ต้องทำให้เป็น...และในตู้ทั้งสามใบใช่จะเป็นเพียงตู้ใส่พระพิมพ์ก็เปล่า หากบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ถือว่าเป็นมหามงคลอย่างเอกอุ เพื่อหวังผลในความชุ่มชื่นเยือกเย็นและเบิกบาน น้ำเป็นสิ่งที่ให้ชีวิต ทุกสรรพสิ่งถ้าขาดน้ำก็ตาย ศาสนาพราหมณ์มีความเชื่ออันหนึ่งว่าน้ำเป็นสิ่งที่ชำระทุกข์โทษและบาปได้ แต่น้ำนั้นจำเป็นต้องมาจาก...แม่น้ำคงคาด้วยเชื่อว่าแม่น้ำคงคาเป็นสายน้ำที่ไหลมาจากมวยผมแห่งพระศิวะ เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์เพราะไหลมาจากภูเขาหิมาลัยที่ชาวฮินดูศรัทธาว่าเป็นจุดตั้งเขาไกรลาส ทิพยวิมานของพระศิวะนั่นเองไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพระราชครูวามเทพมุนีได้เดินทางไปอัญเชิญน้ำจากแม่น้ำคงคาในประเทศอินเดียมาด้วยตัวเอง เทลงผสมกับน้ำศักดิ์สิทธิ์อีกสองแหล่งคือ น้ำมนต์สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 220 ปีหรือน้ำมนต์นครฐานสูตร (นะคะระฐานะสูตร) และ น้ำเทพมนต์อายุ 100 ปีของเทวสถานโบสถ์พราหมณ์เองการแช่น้ำมนต์นั้นมิได้แช่เพียงแค่วันสองวัน ทว่าบรรจุอยู่อย่างนั้นนับแต่วันลงแช่ครั้งแรกคือวันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคมจนตลอดพิธีกรรม 4 วัน 4 คืน และแม้พิธีเทวาภิเษกแล้วเสร็จก็ยังไม่ได้นำขึ้นหากปล่อยให้เอิบอาบอย่างนั้นอยู่ในโบสถ์อีก 2 วัน จึงทยอยกู้ขึ้นมาทีละตู้เริ่มแต่พระคเณศ พระศิวะ พระนารายณ์ เป็นลำดับ และอบไว้ในโบสถ์อีก 7 ราตรีนี่แหละ ! แช่น้ำมนต์ของจริงพิธีในวันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 เริ่มขึ้นแต่เช้ามืดในเวลา 05.30 น. อันเป็นอุดมมงคลฤกษ์ โดยพระราชครูวามเทพมุนี (ชวิน รังสิพราหมณกุล) เป็นผู้ประกอบพิธีบูชาฤกษ์และบวงสรวงเทพเจ้าเหล่าพรหมตลอดทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุ อัญเชิญท่านผู้วิเศษมาอำนวยพรให้การประกอบพิธีเป็นไปโดยราบรื่นและศักดิ์สิทธิ์ทุกขั้นตอนวันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 เริ่มพิธีในเวลา 09.00 น. โดยคณะพราหมณ์จากอินเดียใต้ซึ่งประจำอยู่ที่วัดพระศรีมหาอุมาเทวี (วัดแขกสีลม) ทำพิธีบวงสรวงมหาเทพทั้งสามพระองค์ และพระแม่ศักตีเพื่อขอพรจากพระองค์ให้วัตถุมงคลมีอานุภาพไพศาล จากนั้นจึงเริ่มประกอบพิธีเทวาภิเษกตามแบบฉบับของพราหมณาจารย์ในอินเดียตอนใต้ ซึ่งเครื่องบูชาในพิธีของพราหมณ์จากวัดพระศรีมหาอุมาเทวีนี้ นับว่าสวยงามอลังการมาก ดูเข้มขลังทรงอานุภาพ น่าศรัทธาอย่างยิ่งยวด สมเป็นสาวกของพระแม่อุมาปารวตีผู้ทรงไว้ซึ่งอานุภาพและอิทธิฤทธิ์อย่างยากจะหาเทพนารีองค์ใดมาเทียบเทียม ขนาดพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือ เสด็จเตี่ย ก็ยังทรงให้ความเคารพเป็นล้นพ้น ต้องนำภาพวาดรูปเหมือนพระแม่อุมาเทวีขนาดใหญ่ยักษ์ประดิษฐานไว้กราบไหว้บูชาในพระตำหนักดำ อันเป็นสถานที่เก็บเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงและใช้ประกอบพิธีกรรมในพระองค์ ชิ้นส่วนกะโหลกศีรษะแม่นาคก็ทรงเก็บไว้ที่นี่เช่นกันผมได้ยินมามากรายที่กล่าวขานถึงอานุภาพในองค์พระอุมาเทวี โดยผู้ยกย่องนั้นล้วนเป็นผู้ทรงภูมิในทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านเหล่านั้นได้พบเจอพระอุมาโดยสมาธิอย่างไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ก็สรรเสริญว่าเป็นเทพชั้นสูงมีบารมีมาก โดยเฉพาะทางอิทธิฤทธิ์เชิงบู๊อย่างคงกระพันกันเขี้ยวงานี่ฉมังนัก ไว้มีโอกาสผมจะเล่าสู่กันฟังพิธีเทวาภิเษกในวันนี้ดำเนินอย่างยาวนานและสิ้นสุดลงในเวลา 20.00 น. เป็นอันว่าจบสมบูรณ์ในส่วนของพราหมณ์จากอินเดียตอนใต้วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 เริ่มพิธีในเวลา 15.00 น. โดยบัณฑิต วิทยาธร สุกุลพราหมณ์ และ พราหมณ์จากอินเดียตอนเหนือ ทำพิธีบวงสรวงมหาเทพในศาสนาทั้งหมดโดยเฉพาะ พระศิวะ พระนารายณ์ และ พระคเณศ ผู้เป็นเจ้าของงาน โดยจัดพิธีกองกูณฑ์อัคคีหรือการบูชาไฟ เผากำยาน น้ำมันเนย อัญเชิญเทพเจ้าลงมาร่วมพิธี ประกอบพิธีสรงน้ำผ่านใบไม้มงคลประจำองค์เทพเจ้า โดยพระศิวะสรงน้ำศักดิ์สิทธิ์ผ่านใบมะตูม พระนารายณ์สรงผ่านใบต้นตุลสี (ต้นกะเพรา) และพระคเณศสรงผ่านใบหญ้าคา ซึ่งในขั้นตอนนี้เองที่มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้น แต่เหตุการณ์นี้สายตามนุษย์เช่นเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่อาจแลเห็น หากเลนส์กล้องซึ่งมีความไวแสงสูงกลับจับภาพประหลาดบางอย่างได้คือ
ขณะที่พราหมณ์กำลังทำพิธีสรงน้ำศักดิ์สิทธิ์ผ่านใบมะตูมในหลัวไม้ไผ่อยู่นั้น เกิดมีหมอกควันสีขาวสะอาดลอยครอบคลุมร่างกายของพราหมณ์ทุกท่านไว้ และพาดผ่านเป็นแนวยาวไปจนถึงตู้ที่บรรจุพระพิมพ์อยู่ ซึ่งตู้ที่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังสรงและใบมะตูมที่น้ำกำลังผ่านนั้น...เป็นตู้พระศิวะ !!เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ในสามโลก เทพบดีผู้ปกครองหมู่เทพที่เป็นสัมมาทิฏฐิ และเทวาธิราชผู้เป็นเจ้าของโบสถ์หลังที่กำลังประกอบพิธีนี่อาจเป็นประจักษ์พยานที่หนึ่งซึ่งจะกล่าวได้หรือไม่ว่า พระมหาเทพได้ลงมาร่วมในพิธีสมดังคำสวดอ้อนวอน อำนวยพรให้พระพิมพ์มีผลานุภาพเป็นไปตามที่ผู้บูชาอธิษฐาน และถ้าพยานปากที่หนึ่งนี้ทุกท่านว่ายังมีน้ำหนักไม่พอ อีกสักครู่ผมจะพาท่านไปพบพยานปากที่สองครั้นบวงสรวงแล้วเสร็จจึงประกอบพิธีเทวาภิเษกตามแบบอย่างบูรณาจารย์ของอินเดียตอนเหนือ จบพิธีลงอย่างสมบูรณ์ในเวลา 18.30 น.
วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 จัดพิธีมหามังคลา-เทวาภิเษกโดยนิมนต์พระเถรานุเถระที่ทรงวิทยาคุณมาร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสก ทั้งนี้ได้จัดให้มีการสวดพุทธาภิเษกตามแบบอย่างที่ถูกต้องในทางสงฆ์ดังเช่นที่วัดสุทัศน์ ฯ ได้ถือปฏิบัติมา มีกำหนดการดังนี้1. นิมนต์พระธรรมยุติเจริญพระพุทธมนต์ และ สวดมังคลาภิเษก โดยพระปฏิบัตินั่งปรก2. นิมนต์พระมหานิกายเจริญพระพุทธมนต์ และ สวดมังคลาภิเษก โดยพระปฏิบัตินั่งปรก3. นิมนต์พระรามัญเจริญพระพุทธมนต์ และ สวดมังคลาภิเษก โดยพระปฏิบัตินั่งปรกเริ่มพิธีในเวลา 10.01 น. สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เป็นองค์ประธานจุดเทียนชัยและคณะสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหารสวดคาถาจุดเทียนชัย เจริญพระธรรมจักรกัปปวัตนสูตรเต็มบท เสร็จพิธีในส่วนนี้ก็ถวายภัตตาหารเพล จากนั้นประธานพิธีถวายเครื่องไทยธรรม คณะสงฆ์กล่าวอนุโมทนา กรวดน้ำเวลา 13.00 น. คณะสงฆ์ธรรมยุตินิกายจากวัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม จำนวน 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์เจ็ดตำนาน ประธานสงฆ์จุดเทียนพุทธาภิเษก พระพิธีธรรม 4 รูปจากวัดสุทัศน์เทพวรารามสวดพุทธาภิเษก พระมหาเถระนั่งปรก 2 รูป คือ
1. พระครูการุณยธรรมนิวาส (หลวงปู่หลวง กตปุญโญ) วัดป่าสำราญนิวาส อ. เกาะคา จ. ลำปาง หลวงปู่หลวงนี้เป็นศิษย์ในสายท่านพระอาจารย์มั่นองค์หนึ่งที่ทรงภูมิธรรมและอำนาจจิตเป็นอย่างสูง สิ่งหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้ท่านมากคือ ชานหมาก อันเป็นของว่างที่ท่านเคี้ยวแล้วทิ้ง หากผู้ศรัทธาที่เก็บไปบูชาเกิดมีประสบการณ์อัศจรรย์กับคำหมากท่านมากมาย ได้ยินมาว่าแม้รถที่กำลังจะคว่ำยังเห็นหลวงปู่ไปช่วยประคองไว้มิให้คว่ำได้ และในรถคันนั้นก็มีชานหมากอยู่คำหนึ่งหมากเป็นของที่เคี้ยวประเดี๋ยวประด๋าวไม่นานนักก็คาย ถ้าทำของทิ้งให้มีอานุภาพขึ้นมาได้ภายในเวลา ชั่วเคี้ยวหมากแหลก ก็อย่าไปสงสัยเลยหากท่านผู้นั้นจะตั้งใจเสกวัตถุมงคลด้วยเวลา 2 ชั่วโมงจะดีแค่ไหนคงต้อง ใช้ ดูเอง
2. พระปัญญาพิศาลเถร (หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล) วัดอนาลโย ต. ต๋อม อ. เมือง จ. พะเยา บอกได้เต็มปากอย่างไม่ต้องเกรงใจกันเลยว่า ผมดีใจที่สุดเมื่อเห็นรายชื่อและรูปหลวงพ่อไพบูลย์มาร่วมอธิษฐานจิต เพราะผมถวายเครดิตแก่ท่านในพิธีนี้อย่างสุดส่วนเต็มขั้วหัวใจ พร้อมกันนั้นก็นึกสรรเสริญผู้นิมนต์พระว่า ช่างตาถึง และเก่งเหลือเกิน ขอบคุณจริง ๆเพราะอะไร ?โธ่ ! คุณ เราสร้างพระอะไร รูปบูชาของใคร ถ้าคนฉลาดย่อมต้องหาผู้เสกที่ควรกัน เรียกว่าท่านทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน นับถือกัน เช่น พ่อหลวงสงฆ์ จันทสโร วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จ. ชุมพร ควรที่จะเสกพระบรมรูปของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เพราะ เสด็จเตี่ย เคารพท่าน แม้มีแต่ดวงพระวิญญาณยังไปต่อว่าพ่อหลวงสงฆ์ว่า “ผ่านบ้านแต่ไม่แวะเยี่ยมเลยนะ” บ้านดังท่านว่าก็คือศาลที่หาดทรายรี จ.ชุมพรนั่นเอง ภายหลังหน่วยงานราชการสร้างเหรียญกรมหลวงชุมพรได้นิมนต์พ่อหลวงสงฆ์เสกที่ใต้กระบอกปืนใหญ่เรือหลวงชุมพร นี่เรียกว่าควรหรืออย่างเจ้าแม่กวนอิม ที่ต้องเสกโดยหลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ วัดประดู่ฉิมพลี อันนี้ก็ควร ด้วยท่านทั้งสองเคยพบเจอกันในนิมิตจากนั้นก็ติดต่อกันเสมอ เรื่องนี้จะฟังให้มันส์ต้องฟังอาจารย์เบิ้มเล่า หรือพระพรหมที่หากเป็นหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา อธิษฐานจิตก็เป็นอันว่าลงใจสนิท ฤาษีต้องเป็นหลวงปู่พรหมา เขมจาโร วัดสวนหินฯ กุมารทองต้องหลวงพ่อเต๋ คังคสุวัณโณ วัดสามง่าม ดังนี้เป็นต้น เพราะท่านเหล่านี้...เป็นคู่บารมีกันลองสับกันสิ เอาฤาษีไปให้หลวงปู่ดู่เสกก็เสร็จ ท่านจับบวชพระหมด เอากุมารทองไปให้หลวงปู่โต๊ะท่านก็บ่นพึม ก็ท่านไม่ใช่คู่กันฉันใดก็ดี หลวงพ่อไพบูลย์ก็ฉันนั้น ผมไม่อาจเล่าเท้าความได้ถึงการพบเจอพระศิวะมหาเทพและพระพิฆเนศวรเทพแห่งวิทยาการในองค์หลวงพ่อไพบูลย์ ด้วยเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันไปถึงสถาบันระดับสูงของประเทศชาติ แต่เมื่อพูดถึงตรงนี้ใครที่เคยได้ฟังจากหลวงพ่อย่อมต้องร้องอ๋อทันทีและถือว่าเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ที่สุดเรื่องหนึ่งบอกตรงนี้ดัง ๆ เลยว่า หลวงพ่อไพบูลย์เป็นพระมหาเถระที่ทรงอภิญญาระดับสูง อย่างหาผู้เปรียบได้ยาก คนติดรูปเมื่อเห็นวัดท่านอาจถอยศรัทธาด้วยสวยเกินไปแต่อย่าลืมมอง ข้างในหลวงพ่อไพบูลย์องค์นี้ผมยืนยันกับทุกท่านเลยว่าเป็นองค์หนึ่งที่เคยพบเจอพระศิวะมานับครั้งไม่ถ้วน พระศิวะผูกพันกับหลวงพ่อมาก เห็นจะเป็นด้วยบุรพกรรมที่ร่วมสร้างกันมา มหาเทพพระองค์นี้เคยช่วยหลวงพ่อในกิจต่าง ๆ มากครั้งด้วยกัน แต่ละวาระเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ชวนขนหัวลุกสำหรับผู้ไม่ประสาเช่นผมเป็นเครื่องยืนยันถึงความมีอยู่จริงของเทพองค์นี้อยากบอกว่ามิใช่เพียงหลวงพ่อเท่านั้นที่เคยเกี่ยวข้องกับพระศิวะ แม้องสรภาณมธุรสหรือท่านบ๋าวเอิง แห่ง วัดสมณานัมบริหาร (วัดญวณสะพานขาว) ก็เคยได้สัมผัสพระศิวะมาแล้ว หรือสตรีนักปฏิบัติธรรมที่อัฐิกลายเป็นพระธาตุอย่างมหาอุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม วัดอาวุธ-วิกสิตาราม ก็เคยข้องเกี่ยวกับพระศิวะเทพเช่นกันโดยที่ท่านเหล่านี้ไม่ได้ถือว่าพระศิวะเป็นสรณะอันเกษมสูงสุดไปกว่าพระรัตนตรัย หากเป็นผู้ร่วมทางในการบำเพ็ญธรรมที่ควรเกื้อกูลกันต่างหากนี่คือสิ่งที่ท่านมองแม้พระคเณศก็เช่นเดียวกัน เป็นอะไรที่หลวงพ่อไพบูลย์ได้พบปะกันบ่อย ๆ จนที่วัดยังต้องมีรูปเคารพพระคเณศให้คนแปลกใจว่าทำไมหลวงพ่อจึงนำสิ่งที่มิใช่พระพุทธศาสนาเข้าวัดเรื่องภพชาติเป็นของละเอียดเกินจะอธิบายใครจะล่วงรู้ได้ว่าใครเคยเกิดเป็นพ่อแม่พี่น้องบุตรธิดากันมาก่อน หากมิใช่ผู้ทรงญาณหยั่งรู้โดยทางปฏิบัติภาวนา เอาเป็นว่าหลวงพ่อไพบูลย์รู้จักและเคารพนับถือกันเป็นอย่างดีกับพระศิวะและพระพิฆเนศวร เมื่อท่านมาประกอบพิธีเสกถึง บ้าน ของมหาเทพทั้งสอง จงอย่าสงสัยถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสำเร็จผลในการเสกเลย ท่านต้องติดต่อให้ทั้งสองพระองค์มาร่วมเสก ร่วมรับทราบแน่นอน ไม่ใช่หลับหูหลับตาเสกอย่างเสกพระพุทธหรือตะกรุดเครื่องรางก็แล้วกันเวลา 17.00 น. พระสงฆ์มหานิกายจากวัดสุทัศน์เทพวราราม จำนวน 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์ พระพิธีธรรมจากวัดสุทัศน์ ฯ 4 รูป สวดพระทิพยมนต์ และ มหาสมัยสูตร อันเป็นพระสูตรที่เหล่าเทพยดาโปรดปรานยิ่งนัก
และมีพระมหาเถระในมหานิกายนั่งปรก 3 รูป ดังนี้
1. พระครูวินัยวัชรกิจ (หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม) วัดตาลกง ต. มาบปลาเค้า อ. ท่ายาง จ. เพชรบุรี หลวงพ่ออุ้นเป็นศิษย์ในหลวงพ่อทองสุข ธัมมโชโต วัดโตนดหลวง ซึ่งเป็นพระเถระที่เรืองวิชาอย่างมาก ในเมืองเพชรบุรีและปริมณฑลยุคก่อน ใครจะศึกษาไสยเวทพุทธาคมล้วนต้องมุ่งหน้าไปวัดโตนดหลวงทั้งสิ้นหลวงพ่อทองสุขมีวิชาอาคมที่เข้มขลังยิ่งนัก เป็นพระภิกษุรูปเดียวที่มีหลักฐานว่าได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ลงอักขระกระหม่อมของในหลวงองค์ปัจจุบัน ถือเป็นเกียรติประวัติแก่หลวงพ่ออย่างมาก หลวงพ่ออุ้นได้รับวิชามาหลายแบบด้วยกัน โดยเฉพาะการลงตะกรุดโทนด้วยยันต์ครู การลบผงพระจันทร์ครึ่งซีกอันเป็นมหานิยมอย่างสุดยอด ฯลฯ รวมไปถึงความเมตตาที่หลวงพ่อมีให้ผู้ไปกราบอย่างเสมอภาคทุกคน ทำให้ท่านเป็นที่เคารพรักในศิษย์ทุกระดับชั้นข่าวขลังแห่งท่านปรากฏเมื่อราวปี 2540 เมื่อคนถูกยิงแบบเผาขนแต่กระสุนไม่ลั่น ถ้าจำไม่ผิด ยิง 3 นัด ออก 1 นัด แต่ไม่เข้า เป็นผลให้เหรียญรุ่นแรกที่มีราคาออกจากวัดไม่กี่บาทพุ่งพรวดเป็นหลักพัน ผมเรียนถามท่านถึงเหตุการณ์นี้ท่านได้แต่ยิ้ม ๆ อย่างไม่อยากคุยถึงความเก่งของตัวเองเป็นพระที่กราบได้สนิทใจองค์หนึ่งรีบไปเสียนะเมื่อเห็นหลวงพ่ออุ้นมาร่วมเสกพระชุดนี้ผมก็ยิ่งมั่นใจ นอกเหนือไปจากที่หลวงพ่อจะเก่งจริงแล้วยังเป็นเรื่องทางใจ คือท่านไม่รังเกียจเรื่องของเทพเจ้าเหล่าพรหม พระสงฆ์บางรูปไม่ชอบเรื่องเทวดา บางทีเลยไปถึงไม่เชื่อว่าเทพองค์นั้น- องค์นี้จะมี ก็ป่วยการเชิญท่านมาเสก แต่เป็นหลวงพ่ออุ้นแล้วผมมั่นใจแนบไฟล์
2. พระครูปราสาทพรหมคุณ (หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ) วัดเพชรบุรี ต. ทุ่งมน อ. ปราสาท จ. สุรินทร์ หลวงปู่หงษ์เป็นพระผู้เฒ่าที่แตกฉานในไสยศาสตร์ทุกกระบวน สมเป็นพระที่สืบเชื้อสายจากชาวเขมรที่เลื่องลือว่าเป็นเอกในไสยวิชา ผมยังไม่เคยเห็นใครทำคงกระพันได้อย่างท่าน นั่นคือยิงโดนหน้าอกแล้วไม่เข้าอันนี้ไม่แปลกเห็นกันทั่วไป แต่ที่ลูกปืนกระทบหน้าอกแล้ววิ่งอ้อมไปตกด้านหลังนี่นับว่าน่าตื่นตะลึง ไม่รวมมหาอุดหยุดปืน แคล้วคลาด และมหากำบังที่ท่านทำได้อย่างไม่น่าเชื่อท่านเป็นอีกองค์หนึ่งที่ไม่รังเกียจเรื่องเทวดา หนำซ้ำยังผูกพันให้ความเคารพไม่ดูหมิ่นกันอีกด้วย ท่านนับถือพระคเณศว่าเป็นครูมีเรื่องแปลกที่ควรบันทึกไว้ซึ่งผมว่าน่าชื่นใจสำหรับผู้จัดพิธีนี้และผู้เลื่อมใส กล่าวคือการประกอบพิธีเทวาภิเษกนั้นได้จัดขึ้นที่โบสถ์ใหญ่ซึ่งเป็นเทวาลัยของพระศิวะ ขณะที่หลวงปู่หงษ์กำลังปลุกเสกอยู่นั้นเอง ท่านเห็นชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่เกินมนุษย์ยืนกางขาคร่อมโบสถ์เอาไว้เหมือนอย่างจะแสดงแสนยานุภาพ เมื่อท่านกำหนดดูก็รู้ทันทีว่าบุรุษลึกลับผู้มาอย่างปาฏิหาริย์นี้คือพระศิวะทว่าท่านมิได้บอกเล่าเรื่องนี้ในเทวสถานแต่อย่างใด หากเล่าแก่ศิษย์คนสนิทคือคุณป๋องให้ฟังภายหลังว่า“เจ้าของโบสถ์เขาก็มา มายืนคร่อมอยู่อย่างนี้” ซึ่งคุณป๋องก็ได้นำมาบอกเล่าให้คุณหนุ่ยเจ้าหน้าที่โบสถ์พราหมณ์คนหนึ่งฟังอย่างเลื่อมใสเป็นพยานอีกองค์หนึ่งว่าพระศิวะมีตัวตนและนี่คือพยานที่สองในเรื่องของโบสถ์พราหมณ์หลวงปู่ไม่เล่าในวันงานนั้นนับว่าดี มิฉะนั้นคนอาจมองว่าท่านพูดอย่างเอาใจเจ้าภาพ แต่เมื่อท่านเล่าให้คนกันเองฟังภายหลัง ผมว่าสิ่งที่ท่านเห็นท่านต้องมั่นใจจริง ๆ ผมก็มั่นใจท่านเช่นกัน
3. พระอาจารย์สิงทน นราสโภ วัดพระพุทธชินราช พุทธชิโนฮิลล์ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ท่านพระอาจารย์องค์นี้ผมไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารของท่านมากนัก ด้วยท่านอยู่ไกลจากผมพอสมควร แต่เคยได้ยินกิตติคุณในท่านอยู่เหมือนกันว่าท่านเก่ง เอาไว้ผมได้สัมผัสท่านอย่างใกล้ชิดเมื่อไรจะกลับมาบรรยายกัน
อีกทีเวลา 21.00 น. พระรามัญจากวัดปรก จำนวน 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์ พระพิธีธรรมรามัญจำนวน 4 รูป สวดภาณวาร พระรามัญนั่งปรกจำนวน 4 รูป
1. พระสมุห์ชำนาญ อุตตมปัญโญ วัดบางกุฎีทอง ต. บางกระดี่ อ. เมือง จ. ปทุมธานีผมเคยได้ยินชื่อเสียงท่านจากเพื่อนฝูงหลายคนว่าท่านเก่งและรอบรู้ในเวทย์มนต์คาถาไม่น้อย ถือได้ว่าเป็นพระอาจารย์รุ่นใหม่ที่ขึ้นมาทดแทนองค์เก่าซึ่งมรณภาพจากไปองค์แล้วองค์เล่า หมู่พวกที่ใส่พระของท่านมีประสบการณ์มาเล่าให้ฟังไม่ขาดปากเหมือนกัน แม้จะไม่หวือหวาแต่ก็เรียกน้ำย่อยแห่งศรัทธาได้ไม่เบา
2. พระครูปลัดวีรวัฒน์ ชยธัมโม วัดปรกยานนาวา เขตสาธร กรุงเทพมหานคร
3. พระครูปราโมทสารคุณ วัดบางตะไนย์
4. พระครูเมตตาธรรมคุณ วัดโพธิ์เลื่อนและในเวลา 01.10 ประธานสงฆ์ก็ทำพิธีดับเทียนชัยเป็นอันเสร็จพิธีมหามังคลา-เทวาภิเษกโดยสมบูรณ์อย่างไม่มีใดต้องติ สมบูรณ์ทั้งฝ่ายพราหมณ์ที่อัญเชิญให้เทพเจ้าลงอำนวยพรประทานความศักดิ์สิทธิ์ สมบูรณ์ทั้งฝ่ายพุทธที่บรรจุพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และความเป็นเมตตา มหาเสน่ห์ มหานิยม อุดมลาภ มหาลาภ มหาอุด อยู่ยงคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดอุปัทวันตราย และมหากำบังอย่างที่พระเครื่องจะพึงมี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น