วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มารประจำพุทธศาสนา

มารประจำพุทธศาสนาแบ่งแยกเป็นประเภทต่างๆดังต่อไปนี้ครับ
๑) กิเลสมาร คือกิเลสของเราเอง คงเคยคิดกันมาบ้างว่าตัวคุณเหมือนมีคนสองคนรบกันอยู่ ฝ่ายหนึ่งอยากแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้พ้นทุกข์ อีกฝ่ายขี้เกียจหรือยังดื้อดึงหวงแหนต้นตอทุกข์เอาไว้ เช่นเห็นๆอยู่ว่าเป็นชู้แล้วจะร้อนใจ เล่นพนันแล้วจะหมดตัว แต่จนแล้วจนรอดก็อดไม่ได้สักที สรุปคือตัวเราในภาคที่ใฝ่ต่ำนั่นแหละ คือมารที่ติดตามตัวไปทุกฝีก้าว ว่าไปแล้วมารประเภทนี้น่ากลัวเหนือมารชนิดอื่นใด เพราะมันติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ แถมคนเราก็มักไม่รู้ตัว เพราะเอาแต่ตั้งท่าระวังมารแบบอื่น ไม่ได้ตั้งท่าระวังมารซึ่งเป็นอีกภาคหนึ่งของตัวเองเอาไว้ กิเลสมารนี่ดักทางไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทางเลยทีเดียว กะแค่งดเว้นความประพฤติมิชอบยังสละไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปคิดถึงการสละความหลงผิดระดับละเอียดกัน พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายมืดมนอยู่ด้วยกาม ถูกปกคลุมอยู่ด้วยตาข่ายคือตัณหา ถูกปกปิดด้วยเครื่องมุงคือตัณหา ถูกกิเลสมารและเทวปุตตมารผูกพันไว้แล้ว ต่างจึงต้องมุ่งไปสู่ชราและมรณะ เหมือนปลาที่ปากไซ เหมือนลูกโคที่ยังตามดื่มนมจากแม่โคไปเรื่อย (จากคำตรัสตรงนี้ ยืนยันให้เห็นว่ามารที่เป็นกิเลสในตัวเราก็ส่วนหนึ่ง มารที่เป็นเทวดานอกตัวเราก็อีกส่วนหนึ่ง แสดงแล้วว่าพระศาสดาท่านรับรองการมีอยู่ของมารที่เป็นเทวดา) แง่สังเกตสำคัญในข้อนี้ที่อยากชี้ให้เห็น คือพวกเราทุกคนถูกกิเลสปกปิดความจริงอันประเสริฐสูงสุดไว้ ถูกกล่อมประสาทให้อาลัยอาวรณ์ ยึดติดอยู่กับสิ่งที่ไม่ควรยึดติดไว้ ดังนั้นเมื่อถูกสะกิดให้รู้ตัวแล้ว ก็อาจสะดุ้งตื่น และเพียรพยายามหลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลสมารกันต่อไป แต่หากไม่รู้ตัว ก็ย่อมพึงใจที่จะอาลัยอาวรณ์เรื่อยเปื่อย นึกว่าอะไรๆก็ควรยึดมั่นถือมั่นไว้กับตัว หวังความทนอยู่เที่ยงแท้ถาวรของตัวตนหรือสมบัติพัสถานอันเป็นที่รักไปทั้งนั้น อีกแง่สังเกตหนึ่งเมื่อรู้จักกิเลสมาร คือเราจะไม่เห็นว่าเพศตรงข้าม เงินทอง บ้านเรือน รถยนต์ โรงหนัง เรือยอร์ช ฯลฯ เป็นมารขัดขวางทางไปสวรรค์นิพพาน แต่จะเห็นเพียงว่าสิ่งเหล่านั้นคือเครื่องล่อให้มารทำงาน ต่อไปจะโทษอะไรก็จะได้โทษตัวเองที่เป็นภาคมารก่อนโทษข้าวของไร้ชีวิตภายนอก
๒) ขันธมาร คือกายใจของเราเอง อย่างที่กล่าวไว้ว่าพุทธศาสนาเรามุ่งเอานิพพานเป็นที่สุด สิ่งใดขวางไม่ให้เห็นนิพพาน สิ่งใดหน่วงเหนี่ยวไว้ไม่ให้ถึงนิพพาน สิ่งนั้นจัดเป็นมาร ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสไว้ว่ากายใจนี้แหละคือมารชนิดหนึ่ง เพราะสัมผัสทางกายใจเป็นรากฐานของความอาลัย ไม่ชวนให้เกิดความยินดีในนิพพาน พระองค์ท่านตรัสสอนภิกษุสาวกให้พิจารณาว่ากายนี้ก็ดี สุขทุกข์ก็ดี ความหมายรู้หมายจำก็ดี เจตนาดีชั่วก็ดี ความรับรู้ต่างๆก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นมาร เพราะเมื่อสิ่งเหล่านี้มี จึงมีความตาย จึงมีโรค จึงมีภัยประการต่างๆ สรุปคือสิ่งเหล่านี้เป็นตัวทุกข์โดยตรง หากเห็นเช่นนี้ได้ ก็จัดเป็นความเห็นชอบทางพุทธศาสนาขั้นสูง หากคุณกำลังสงสัยว่าจะเห็นชอบเช่นนี้ไปทำไม พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสตอบว่าประโยชน์ของความเห็นชอบทำให้แหนงหน่ายความมีความเป็น และเมื่อแหนงหน่ายก็ย่อมคลายความกำหนัดยินดีในกายใจนี้ เมื่อคลายความกำหนัดยินดีย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นย่อมเข้าถึงนิพพาน นิพพานนั่นเองเป็นที่สุดของประโยชน์ ไม่มีประโยชน์อื่นใดเหนือกว่านี้อีก เพราะบุคคลย่อมดับทุกข์ดับโศกอย่างถาวรเมื่อปราศจากกายใจ ตราบใดมีกายใจก็ยังมีเครื่องล่อไม่ให้รู้จัก ไม่ให้อยากฝันถึงนิพพานไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งสับสนนะครับ อย่านึกว่าเจริญล่ะ ถ้ากายใจเป็นมารก็คว้ามีดมาแทงตัวให้ตายไม่เหมาะหรือ? ในความเห็นชอบขั้นต้นเราต้องมองว่ากายใจมนุษย์นี้เป็นบันไดกุศล เปิดโอกาสให้เราบำเพ็ญบารมีจนดีพอจะเข้าถึงพระนิพพานได้ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านทำนิพพานให้แจ้งแล้ว กายใจก็ไม่เป็นมารอีกต่อไป และท่านก็ยังคงใช้กายใจนี้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสัตว์โลกต่อไป ไม่ทำลายทิ้งเสียก่อนกาลอันควรเลย
๓) อภิสังขารมาร คือบาป บุญ และฌาน ที่สิ่งเหล่านี้ถือเป็นมารได้ก็เพราะบาปเป็นตัวก่อภพที่น่าสะพรึงกลัว บุญเป็นตัวก่อภพดีๆที่น่าติดใจไม่เลิก ส่วนฌานเป็นตัวก่อภพที่ประณีตสูงส่งเหนือกามารมณ์ ถึงแม้ดีวิเศษอย่างไร ภพก็คือภพ เมื่อมีได้ก็ต้องเสียได้ เมื่อตั้งอยู่ย่อมแปรปรวนไป เมื่อแปรปรวนไปย่อมต้องจากพราก ย่อมต้องพ้นจากสภาพนั้นๆในวันหนึ่ง บันดาลความเศร้าโศกอาลัย ความคร่ำครวญเสียดาย วนไปเวียนมาไม่รู้จบรู้สิ้น พระพุทธเจ้าส่งเสริมให้ทำดีมากๆ คือรู้ว่ายังไม่มีดีข้อไหนก็ทำให้มีเสีย รู้ว่ามีดีข้อไหนแล้วก็เพิ่มให้ยิ่งขึ้นไปอีก แต่ความดีอันเป็นที่สุดคือไม่สำคัญว่าความดีเป็นเป้าหมายสูงสุด เป้าหมายสูงสุดของพุทธคือข้ามพ้นจากภาวะน่ายินดีติดใจทั้งปวง มีความจริงระดับยอดอยู่ประการหนึ่งที่ชวนฉงน นั่นคือเมื่อพระอรหันต์ท่านสว่างแจ้งแทงตลอดแล้ว แม้ท่านจะแสนดี เมตตากรุณาต่อชาวโลกเพียงใด อาการทางใจของท่านก็จะสักแต่เป็นกิริยา ไม่เป็นบุญแบบก่อภพก่อชาติ อันนี้อย่าไปเลียนแบบท่านนะครับ บางคนอยากลัดขั้นเป็นอรหันต์ดิบ ไม่ต้องทำบุญ ไม่อยากให้ใจเป็นบุญ ความจริงพวกเราต้องเกาะบุญไว้ เหมือนตราบใดไม่ถึงฝั่งก็ต้องพึ่งเรือไปเรื่อยๆ จนกว่าจะประชิดฝั่งจริงๆถึงค่อยเห็นเรือเป็นมารที่สมควรทอดทิ้งไว้ เพราะถ้าขืนยังอาลัยก็ไม่ได้ขึ้นฝั่งเท่านั้น
๔) มัจจุมาร คือความตาย ที่ความตายถูกจัดให้เป็นมารก็เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่คนเราส่วนใหญ่จะตายเสียก่อนรู้จักหนทางหลุดพ้น หรือรู้จักหนทางหลุดพ้นแล้วก็ตายเสียก่อนจะบำเพ็ญเพียรจนหลุดพ้นได้สำเร็จจริง ในครั้งพุทธกาลมีภิกษุจำนวนมาก บำเพ็ญเพียรเต็มกำลัง แต่ยังไม่ทันสำเร็จอรหัตตผลก็หมดอายุเสียก่อน และแม้ในยุคเราก็มีพระป่าจำนวนหนึ่ง เอาชีวิตของพวกท่านไปทิ้งในป่ากันเงียบๆ โดยยังไม่ทันบรรลุผลอันเป็นที่สุดกัน พระอรหันต์เป็นบุคคลประเภทเดียวที่ละมัจจุมารเสียได้ กล่าวคือเมื่อหมดกิเลส จิตก็ลอยบุญ ลอยบาป อยู่เหนือธรรมชาติปรุงแต่งให้เกิดภพใหม่ แม้เราจะเห็นด้วยตาเปล่าว่าร่างกายพวกท่านทอดนอนเหมือนขอนไม้ยามสิ้นลม นั่นก็ไม่จัดเป็นมัจจุมาร เพราะความตายขัดขวางการเข้าถึงนิพพานของพวกท่านไม่ได้อีกแล้ว พวกท่านถึงนิพพานเสียก่อนที่มัจจุราชจะมาตัดหน้าชิงตัวไปเกิดในภพใหม่แล้ว
๕) เทวปุตตมาร คือเทวดาพวกที่มีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือเห็นใครอยากไปนิพพานเป็นไม่ได้ ต้องทุรนทุราย อยากเข้าไปขัดขวาง หรือเมื่อเห็นใครเป็นพระอรหันต์และอาจนำหมู่ชนจำนวนมากให้สำเร็จมรรคผลนิพพานตามได้ ก็จะบังเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ อยากให้พวกท่านล้มหายตายจาก ตามหลักฐานในคัมภีร์ บางทีก็เล่นงานกันตรงๆแบบถึงเนื้อถึงตัว หรือเมื่อเล่นงานแบบถึงเนื้อถึงตัวไม่ได้ ก็จะใช้วิธีขอให้รีบลาไปนิพพานดื้อๆ อย่างเช่นที่มารไปทูลขอพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธศาสนาตั้งมั่นแล้ว หมดกิจของพระองค์ท่านแล้ว จึงควรกำหนดปลงอายุเพื่อดับขันธปรินิพพานเสียเถิด ปัจจุบันมักมีนักวิชาการมองว่าเทวปุตตมารกับกิเลสมารคืออันเดียวกัน ความจริงคือเป็นคนละอย่างกัน เช่นที่พระพุทธเจ้าท่านหมดกิเลสแล้ว ย่อมไม่ถูกกิเลสมารมารบกวนเป็นแน่ และอีกประการคือท่านตรัสชัดว่าหมู่ชนถูกพันธนาการไว้ด้วยกิเลสมารและเทวปุตตมาร ถ้าเป็นอันเดียวกันก็คงไม่มีคำว่า ‘และ’ มาเป็นตัวแบ่งแยก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น